วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566

จุดจบยอดนักเย็ด #5


==================

แม้ว่าทุกวันนี้กุ๊กเองจะดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มากจนผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นคนๆ เดียวกันกับเมื่อก่อน ทั้งๆ ที่ผมเองนี่แหละที่เป็นคนเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอยู่ข้างๆ เธอมาตลอด ด้วยความที่เธอรีดลดไขมันส่วนเกินออกไปจนน้ำหนักเหลือแค่ราวๆ 53-54 โล แต่ภายในตัวเธอก็ยังคงเป็นสาวอวบขี้อาย ที่ไม่มั่นใจว่าผู้ชายที่คุยด้วยเค้าจะคิดอยากคบเธอจริงจังรึเปล่า ไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนที่เธอเคยคุยกับเพื่อนชายคนสนิทคนนั้นเลย

“พี่โจ้ ถามไรหน่อยดิ” ช่วงหลังมานี้เวลาอยู่กันสองคน เธอมักจะเรียกผมว่าพี่โจ้แทนที่จะเรียกลุงเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฟังแล้วจั๊กกะจี้ทุกที
“ว่าไงอ้วน?” ผมตอบเธอไปเหมือนเคย แม้ว่าทุกวันนี้เธอจะไม่ได้อ้วนแบบเดิมแล้วก็ตาม
“ทุกวันนี้พี่คิดยังไงกับหนูอ่ะ?” เอาแล้วครับท่าน คำถามปราบเซียนแม่งโผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยซะงั้น
“เอ่อ... ไหงอยู่ดีๆ ถามงั้นอ่ะ?”
“ก็แบบ... มันอึดอัดว่ะพี่ หนูคิดไปคิดมาอยู่คนเดียวแล้วเครียดอ่ะ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้เราอยู่ในสถานะไหนกันแน่” เธอเร่มร่ายยาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อืมมม.... ก็... กุ๊กก็น่ารักดีนะ” คำพูดผมเล่นเอาเธอยิ้มเขินๆ ด้วยความอาย
“แล้วๆๆ แล้วพี่ชอบกุ๊กป่าว?”
“หูยยยย ถามตรงจังวะ... ใครมันจะไปกล้าตอบฟะไอ้บ้า”
“น่าาา นะๆๆ บอกหน่อยดิ ก็หนูอยากรู้นี่นา” เธอเกาะแขนผมแล้วอ้อนเหมือนเด็กๆ
“อือๆ ชอบก็ได้ พอใจยัง” ผมตอบแล้วหลบตา
“ไม่เอาก็ได้ดิ พี่อ้ะ! ไม่จริงใจเลยว่ะ แม่งงง”
“อ่ะๆๆ งอนอีก... ชอบครับ พอใจรึยังครับอ้วน?”
“ฮิฮิ” เธอยิ้มกว้างยิงฟันตาหยีอย่างชอบใจ ให้ตายเถอะ นี่ผมมีลูกสาวรึไงวะเนี่ย? พอเห็นเธอเผลอไม่ทันระวังตัว ผมจึงแอบหอมแก้มเธอไปหนึ่งฟอดด้วยความหมั่นเขี้ยว เธอตกใจร้องว้ายเสียงดัง วิ่งไล่ตีแขนผมเป็นพัลวันเพราะความเขิน

เราแอบคุยกันโดยที่ไม่มีใครในออฟฟิศระแคะระคายรู้เรื่องอยู่เป็นเดือนๆ ผมมักจะชวนเธอไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ่อยๆ เวลาเลิกงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มักจะวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดของผม หรือไม่ก็คอนโดพี่สาวเธอนั่นแหละ บางวันก็ชวนเธอขึ้นมานั่งเล่น นอนดูหนังในห้องกันสองคน โดยไม่ได้ล่วงเกินอะไร เต็มที่ก็ได้แค่กอดและหอมเธอเท่านั้น

ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะไปเร่งรัดให้ความสัมพันธ์ทางกายของเราเกินเลยไปก่อนเวลาอันควรโดยที่ใจเธอยังไม่พร้อม จนแอบคิดไปว่ากว่าจะได้มีอะไรกันจริงๆ เผลอๆ จะต้องรอให้แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวซะก่อน ซึ่งพูดตรงๆ เลยครับว่าผมเองก็ไม่ได้มองความสัมพันธ์ของเราไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก แค่ความสัมพันธ์แบบแฟนก็ยังดูจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญก็คือ อย่างน้อยมันก็ยังพอมีช่องว่างสำหรับเปิดโอกาสให้ผมได้ไปคุยไปเที่ยวกับสาวๆ คนอื่นๆ บ้างโดยไม่รู้สึกผิด

ยิ่งกุ๊กผอมลงเท่าไหร่ ความน่ารักของเธอก็ยิ่งเปล่งปลั่งชัดเจนในสายตาของคนรอบข้าง เธอเล่าให้ผมฟังว่าเริ่มมีหนุ่มๆ บางคนทำทีเหมือนจะเข้ามาคุยกับเธอมากขึ้น ซึ่งผมรู้ทันทีว่าไอ้พวกนี้ก็หมาหิวทั้งนั้นแหละ พอเห็นเธอน่ารักก็พึ่งจะอยากรู้จักอยากจะเอา ซึ่งเธอก็พูดให้ผมสบายใจว่าไม่ได้มีอะไรจริงจัง เพราะเธอไม่ได้สนใจพวกนั้นเลยซักนิด แต่ผมก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ก็แหม ขนาดตัวผมเองยังเคยล่อเมียคนอื่นมาแล้วนับไม่ถ้วนเลยนี่ครับ จะแปลกอะไรถ้าจะมีใครอยากเข้ามาล่อกุ๊กบ้าง ฮึ่ย แค่คิดก็แอบร้อนรุ่มอยู่ในใจแล้วนะเนี่ย

“อ้วน แล้วเรื่องเพื่อนคนที่ชื่อเอ็มน่ะ ตกลงว่ายังไง หืม?” ผมเอ่ยถามเธอถึงหนุ่มคนล่าสุดที่เหมือนจะเข้ามาคุยๆ จีบๆ เธอ
“หืม? ทำไมอ่ะ พี่โจ้มีไรเหรอ?” เธอถามทำหน้างงๆ
“อ้าว ก็เห็นบอกว่าหลังๆ เค้าชอบทักไลน์มาบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ สรุปยังไง เค้ายังวอแวอยู่มั้ย?”
“อืม เค้าก็มีทักมาเรื่อยๆ นะพี่ แต่หนูก็ไม่ได้คุยอะไรมากอ่ะ ไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้า”
“อือ ดีแระ” ผมค่อยโล่งใจหน่อย

“ทำมายย? หึงหนูหราา?” เธอเหมือนจะเริ่มรู้ทัน
“เปล๊า จะหึงทำไมก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”
“เอ้า! เหรอ? ตกลงเราไม่ได้เป็นอะไรกันเหรอเนี่ย แล้วพี่โจ้มาเนียนจับมือหนูทำไม” เธอแกล้งพูดแล้วก็ทำท่าสะบัดมือ แล้วเดินหนีไปข้างหน้า จนผมต้องรีบก้าวยาวๆ ตามไปจับมือเธอเหมือนเดิม
“อะไรๆๆ ทำเป็นงอนนะเรา ขี้งอนจริงๆ เลย พี่แค่พูดเล่นเฉยๆ เท่านั้นแหละ”
“ฮึ พูดมาเต็มสองหูเลยว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ทีงี้จะมาบอกว่าพูดเล่น ฮิโธ่! คอยดูนะ เดี๋ยวจะกลับไปร้องไห้ซบอกเอ็มให้ดู แล้วอย่ามาเสียดายทีหลังล่ะ” เธอพูดงอนๆ ขำๆ แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ นั่นสิ ตกลงตอนนี้เราอยู่ในสถานะอะไรกันแน่นะ?

มีอยู่วันนึงกุ๊กไก่ชวนผมไปเดินเล่นที่ตลาดนัดเจเจกรีน ระหว่างที่เรากำลังเดินจูงมือดูร้านเสื้อผ้าอยู่นั้น สายตาผมก็เหลือบไปเจอะเข้ากับสายตาอีกคู่หนึ่งที่กำลังมองมาไกลๆ ชิบหาย! ยัยป่านรุ่นน้อง AE อีกคนกำลังเดินมากับกลุ่มเพื่อนอยู่ประมาณ 200เมตรข้างหน้า ไวเท่าความคิด ผมตัดสินใจจูงมือกุ๊กเดินหลบไปอีกทางทันที พอเดินมาได้ซักพัก กุ๊กก็หันมาถามว่ามีอะไรรึเปล่า ผมเลยเล่าเรื่องที่เจอยัยป่านเมื่อครู่ให้เธอฟัง เธอก็ทำตาโตตกใจ เพราะรู้กันดีว่ายัยน้องป่านเนี่ย ขี้เม้าท์อย่างกับอะไรดี เราเลยชวนกันกลับก่อนกำหนด เพราะไม่อยากไปเจอะหน้าป่านเข้าแบบจังๆ อีกรอบ

พอวันรุ่งขึ้นเราทั้งคู่เลยอดเกร็งๆ ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ายัยป่านจะเอาเรื่องที่เห็นไปเม้าท์ให้ใครในออฟฟิศฟังแล้วบ้าง เราพยายามเตี๊ยมคำตอบให้เนียนๆ เผื่อว่าจะโดนใครถามขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปอีก 2-3 วัน ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยค่อยโล่งใจหน่อยว่าจังหวะนั้นเธออาจจะมองเห็นไม่ชัดก็เป็นได้ เพราะมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แถมยังมองมาจากระยะไกลพอควรอีกด้วย แต่ชีวิตก็มักจะคอยล่อลวงให้เราเผลอลดการ์ดลงแบบนี้แหละครับ พอเราแค่ประมาทแว้บเดียวก็โดนซัดปัญหาเข้ามาเต็มๆ ปลายคาง สลบเหมือดกันไปเลย

จู่ๆ พี่หน่อย เจ้านายก็เรียกผมกับกุ๊กเข้าไปคุยกันเป็นการส่วนตัว ผมรู้ทันทีว่าเรื่องแดงแล้ว ก็เลยพยายามเตรียมใจที่จะตอบคำถามเธอไปตรงๆ เพราะรู้ว่าโกหกไปก็เท่านั้น และยิ่งพี่หน่อยเองก็รู้จักนิสัยผมดีอยู่แล้วด้วย สุดท้ายก็เลยต้องยอมบอกความจริงกับแกไป

“จริงๆ เรื่องที่คนในออฟฟิศจะมาชอบพอกันเองชั้นก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะโจ้ แต่พี่อยากเตือนให้ลองทบทวนกันดูดีๆ ก่อน ว่าถ้าเกิดความสัมพันธ์ของพวกแกสองคน สุดท้ายมันไปกันไม่รอดจริงๆ แกจะเข้าหน้ากันติดมั้ยวะ? แล้วถ้าเกิดมันอึดอัดเข้ามากๆ จนสุดท้ายมีใครทนไม่ไหวขอลาออกไป ปัญหามันก็จะลุกลามจากเรื่องส่วนตัวไปกระทบกับการทำงานแล้วนะ” คำพูดของเธอแฝงไว้ด้วยเหตุผลจนผมเองก็ไม่รู้จะเถียงยังไง
“แต่ว่า... เราก็โตๆ กันแล้วนะครับพี่ ผมคิดว่าเราสองคนก็มีเหตุมีผลในระดับนึง ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาฟูมฟายแยกแยะปัญหากับงานไม่ได้”
“แกทำได้แล้วกุ๊กมันล่ะ มันจะทำได้รึเปล่า” พี่หน่อยบุ้ยใบ้หันไปถามกุ๊กที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่
“หนู.. หนูก็ไม่แน่ใจค่ะพี่” กุ๊กเอ๊ยยยย ตอบแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์มันดีขึ้นเล้ยยย

“เอางี้ ชั้นถามตรงๆ แล้วกัน ตกลงตอนนี้พวกแกสองคนเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย?” คำถามของเธอเล่นเอาผมกับกุ๊กสะอึกไปเลย เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเองก็ไม่ได้กำหนดขอบเขตสถานะความสัมพันธ์ของเราให้มันชัดเจนซักเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ว่าสนิทสนมกันมากกว่าคำว่าพี่น้อง แต่ก็ไม่ได้จับจองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของซึ่งกันและกัน ด้วยความที่ผมเองก็ยังแก้นิสัยเจ้าชู้ ชอบคุยกับสาวๆ ไปทั่วไม่ได้ ขณะเดียวกันกุ๊กเองก็ยังกลัวๆ เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าคบกันจริงๆ แล้ว มันจะต้องเลิกกันในท้ายที่สุดรึไม่ เรามองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่นึง พยายามคิดทบทวนคำตอบอยู่ในใจลึกๆ และก่อนที่พี่หน่อยจะได้พูดอะไรต่อนั้น ผมก็ชิงตอบออกมาซะก่อนว่า
“ใช่ครับพี่ เราเป็นแฟนกันครับ” คำตอบของผมเล่นเอากุ๊กหน้าเหวอไปเลย เพราะไม่คิดว่าผมจะตอบออกไปแบบนั้น พอเธอตั้งสติได้ก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นการยืนยันอีกที

พี่หน่อยยืนนิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่นึง แล้วก็พูดต่อ
“เอาล่ะ ถ้าพวกแกยืนยันอย่างนั้นชั้นก็คงไปห้ามอะไรไม่ได้ เพราะมันคือเรื่องส่วนตัวของแกสองคน แต่บอกตรงๆ นะว่าชั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าแกจะทำกุ๊กมันเสียใจในท้ายที่สุด ระมัดระวังกันหน่อยแล้ว กุ๊กเองก็อย่าใช้อารมณ์กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และสำคัญที่สุดอย่าให้มันมากระทบกับเรื่องงานแล้วกัน ไปได้แล้ว แล้วอย่าลืมเตรียมบรีฟงานเข้าประชุมตอนบ่ายด้วยล่ะ”

พอออกมาจากห้อง นั่งที่โต๊ะทำงานปั๊บ เราก็โดนรุมแซวจากเพื่อนๆ ในออฟฟิศทันที ผมเองน่ะกะไว้แล้วว่าไม่รอดแน่เลยพอจะตั้งตัวได้ แต่กุ๊กเนี่ยสิ พอโดนแซวหนักๆ เข้าก็เขินจนแก้มแดงแป๊ด พูดอะไรไม่ออกไปเหมือนกัน ตลอดบ่ายวันนั้น เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกโล่งอก เหมือนยกภาระบางอย่างออกไปจากตัวได้เสียที เพราะที่ผ่านมาก็อดอึดอัดไม่ได้ที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไปไหนกับกุ๊กแบบสองต่อสอง แต่หลังจากนี้ ผมสามารถเดินควงแขนเธอได้แบบไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว ว่าแต่ สรุปแล้วตอนนี้เราก็กลายเป็นแฟนกันจริงๆ แล้วสิเนี่ย ไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเล้ย ว่าจะต้องมีแฟนเหมือนคนอื่นเค้าเอาตอนนี้ เฮ้อ

“พี่โจ้ๆ เย็นนี้ว่างมั้ย ไปกินหนมที่เซ็นลาดกัน” เสียงกุ๊กเอ่ยทักหลังจากเราประชุมงานช่วงบ่ายกันเสร็จและกำลังเตรียมจะแยกย้ายกันเลิกงาน
“หือ ก็ว่างอ่ะ ไปสิ ไปด้วยกันมั้ยวะไอ้เบส?”
“อืมม ไม่ดีกว่าอ่ะพี่” เบสพูดส่ายหน้าเบาๆ
“ทำไมวะ ติดนัดเหรอ?”
“โถๆๆๆ ก็ไอ้เบสมันไม่อยากกลายเป็นกขค.ของคุณๆ ท่านๆ ทั้งสองน่ะสิคร้าบบบบบ ไอ้คุณโจ้!” เสียงพี่จ๋องตะโกนแซวแทรกมา เรียกเสียงฮาครืนจากคนในห้อง ผมกับกุ๊กเห็นท่าไม่ดีเลยพากันชิ่งออกมาก่อนที่จะโดนล้อหนักๆ อีกรอบ

=======================================

แม้ว่าทุกวันนี้กุ๊กนั้นจะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักจนรูปร่างของเธอดูบางลงไปพอสมควรแล้ว พุงกับเอวที่เคยกลมยื่นก็ยุบลงไปจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเข้ารูป แต่เธอก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาออกกำลังกายเพื่อฟิตหุ่นต่อไปด้วยความตั้งใจ โดยที่ช่วงหลังๆ ผมกับเธอจะเปลี่ยนมาเน้นที่การว่ายน้ำที่สระในคอนโดซะเป็นส่วนใหญ่ กุ๊กมักจะสวมชุดว่ายน้ำวันพีซทรงคล้ายๆ กับชุดว่ายน้ำของเด็กมัธยมทั่วไป ที่ทั้งปิดมิดชิด และไม่มีลวดลายเว้าหวิวให้รู้สึกเซ็กซี่เลยแม้แต่น้อย และยิ่งรสนิยมของเธอนั้นมักจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูติสท์ๆ ปอนๆ เซอร์ๆ ผมจึงตัดสินใจว่าไม่ได้การละ ต้องพาเธอไปเลือกซื้อเสื้อผ้ารวมถึงชุดชั้นในใหม่ๆ ซักหน่อย ไหนๆ เธอก็ลดหุ่นจนเริ่มที่จะใส่เสื้อชุดเดิมๆ ไม่พอดีตัวอยู่แล้ว

เราพากันไปเลือกซื้อชุดที่ห้างยูเนี่ยนมอลล์ลากยาวไปจนถึงเซ็นทรัลลาดพร้าว เธอได้เสื้อยืดผ้าบางลายเท่ๆ มา 5-6ตัว กางเกงยีนส์เข้ารูปทั้งขาเดฟยาว ขากระบอก รวมไปถึงกางเกงยีนส์สั้นกุดเปิดเผยเนื้อหนังที่เธอแทบไม่เคยใส่มาก่อนอีกอย่างละสองตัว นอกนั้นก็มีพวกชุดเดรสกระโปรงน่ารักๆ ชุดเดรสผ้าลูกไม้ และอื่นๆ อีกมากที่ผมจำไม่หมด ซึ่งทั้งหมดสนับสนุนโดยเงินในกระเป๋าของผมนี่เอง ฮือๆๆ นี่สินะ ค่าใช้จ่ายของคนมีแฟนที่เค้าร่ำลือกัน

จนกระทั่งมาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดในการช็อปปิ้งวันนี้ นั่นก็คือการเลือกซื้อชุดชั้นในนั่นเอง ผมปล่อยให้เธอเลือกยกทรงกับกางเกงในลายเรียบๆ ที่เธอคิดว่าใส่สบายสำหรับชีวิตประจำวันได้ประมาณ 7-8 คู่แบบเข้าชุด แล้วจึงเอ่ยปากชวนให้เธอไปเลือกดูชุดชั้นในแบบเซ็กซี่ๆ ที่ถูกแขวนโชว์อยู่อีกมุมหนึ่ง

“โหย ไม่ไหวอ่ะพี่โจ้ มันโป๊จังเลย” เธอพูดถึงกางเกงในลายลูกไม้ตัวจิ๋ว ทั้งพื้นที่บางโล่งโจ้งบริเวณกลางเป้า ไหนจะสายขอบกางเกงในที่บางจ๋อยจนแทบจะนึกว่าเป็นเชือกบิกินีซะอีก
“เอาน่า ก็ใส่อยู่ข้างใน ไม่มีใครเห็นซักหน่อย นานๆ ทีจะได้ใส่ชุดสวยๆ ให้รู้สึกดีบ้างไง”
“โห แต่ว่ามันก็ใส่อยู่คนเดียว เห็นอยู่คนเดียว ก็ซื้อชุดธรรมดาเพิ่มไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็ถ้าคิดแบบนั้น งั้นก็ใส่ให้พี่ดูอีกคนก็ได้ จะได้รู้สึกคุ้มขึ้นมาหน่อย” เธอฟังแล้วก็ทำหน้าตกใจตาตื่น
“บ้า! ใครจะให้พี่โจ้ดูเล่า! ทะลึ่ง!”

“เอ้าๆ พี่พูดจริงนะ สุดท้ายพี่ก็ต้องได้เห็นอยู่ดีนั่นแหละ ไหนๆ จะได้ดูแล้วก็ขอดูชุดสวยๆ หน่อยก็แล้วกัน อิอิ”
“ไม่มีทาง! หนูไม่ใจอ่อนให้พี่ดูง่ายๆ หรอก คนลามก!”
“ก็ตามใจ๊” ผลสุดท้ายเราจึงช่วยกันเลือกชุดชั้นในเซ็กซี่มาเพิ่มอีก 4 คู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นสีดำขลิปลายลูกไม้นั่นแหละครับ เพราะผมชอบแบบนี้ที่สุดแล้ว แต่ที่เด็ดก็คือมีอยู่ตัวหนึ่งเป็นกางเกงในแบบจีสตริง ซึ่งเธอไม่เคยใส่มาก่อนเลยในชีวิต แค่จินตาการถึงภาพโหนกหีของกุ๊กที่ถูกรัดรึงอยู่ในกางเกงในตัวจิ๋วนี้แล้ว เลือดกำเดาผมก็แทบพุ่งกระฉูดออกมาเดี๋ยวนั้นเลย

เวลาก็ดำเนินต่อไปตามทางของมัน เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ในรูปแบบแฟนของเราที่งอกงามขึ้นตามไปด้วย และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ดอกผลของความสัมพันธ์ก็พร้อมที่จะงอกเงยออกมาให้เด็ดกินอย่างชื่นหัวใจ

“พี่โจ้ๆๆ” กุ๊กร้องเรียกยิกๆ ขณะที่กำลังนอนเอนพิงไหล่ผมดูซีรีส์ด้วยกันอยู่บนเตียง
“หืมมม?”
“รูปนี้สวยเปล่า” กุ๊กยื่นมือถือส่งมาให้ผมดู ภาพในจอเป็นรูปคู่ของเรานั่งยิ้มเบียดกัน
“หนูว่าจะเอารูปนี้ขึ้นดิสเพลย์แหละ พี่ว่าน่ารักมั้ย?”
“อืมม เอาสิ” ผมตอบเฉื่อยๆ
“งั้นหนูแท็กพี่ด้วยนะ”
“เอ่อ จะดีเหรอ เดี๋ยวเรทติ้งพี่ตกนะ แฮะๆ”
“โหย เนี่ย! พี่ก็เป็นแบบเนี้ยตลอด พอจะลงรูปคู่แต่ละทีก็ชอบทำบ่ายเบี่ยง เออ หนูไม่โพสต์แล้วก็ได้ ใช่ซี้ กลัวสาวๆ เค้ามาเห็นแล้วจะถอยห่างไปล่ะสิ” กุ๊กไก่ออกอาการงอนจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ผมเลยต้องรีบง้อเธอด้วยการดึงตัวเธอมากอดไว้

“โอ๋ๆๆ อย่างอนสิคนดี พี่แค่พูดเล่นๆ เฉยๆ โพสต์เลยๆ”
“ไม่ต้องเลย งอนแล่ว! ฮึ.... ฮึ... ฮะ... ฮะๆๆๆ ว้าย! จั๊กกะจี้” เธอร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมซุกไซร้ซอกคอขาวๆ มือก็จี้เอวเธอไปด้วยจนตัวดิ้นไปมา
“นี่แน่ะๆ จะหายงอนมั้ย นี่ๆๆ” ผมจี้เอวเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าเธอเป็นคนบ้าจี้
“ฮะๆๆๆ... ไม่เอา..... ฮ่าๆๆๆๆ! โอ๊ยย.... พอแล้ว.... ยอมแล้ววว..” เธอนอนแผ่หมดสภาพอยู่บนตักผม หายใจถี่ๆ  ผมเห็นแล้วอดที่จะก้มลงไปหอมแก้มเธอไม่ได้ พอเห็นเธอไม่ว่าอะไรก็เลยได้ใจ ลองขยับเข้ามาจุ๊บไปที่ปากเธอเบาๆ
“ฮืมมมม...” กุ๊กผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อถูกผมประกบริมฝีปากเข้าไปจนแนบสนิท เราจูบกันอย่างอ่อนโยนอยู่แป๊บนึง ก่อนที่ผมจะถอนปากออกมา มองเห็นใบหน้าของกุ๊กแดงระเรื่อเหมือนกับมะเขือเทศที่กำลังเต่งตึง นัยน์ตาของเธอเยิ้มหวานด้วยรสสัมผัสจากรอยจูบเมื่อครู่ ตอนแรกผมเองก็ตั้งใจแค่จะแกล้งเธอเล่นเฉยๆ แต่ตอนนี้อารมณ์ของผมมันดันพุ่งสูงขึ้นจนอยากที่จะข้ามเส้นความสัมพันธ์ของเราให้ไกลขึ้นไปอีก

ผมโน้มตัวลงไปจูบปากกับกุ๊กอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปสัมผัสกับริมฝีปากบางๆ ของเธอ ก่อนจะแตะเข้ากับปลายลิ้นของเธอที่สั่นระริกอยู่ภายในนั้น มือขวาผมก็เอื้อมลงไปสัมผัสกับหน้าอกอวบหยุ่นของเธอ ซึ่งแม้ว่ามันจะเล็กลงไปบ้างจากแต่ก่อน อันเป็นผลมาจากน้ำหนักตัวของเธอที่ลดลงไปกว่าสิบโลนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังนูนเด่นดึงดูดใจผมอยู่ดี ผมขยำนมเธอเต็มๆ ผ่านเสื้อยืดตัวโคร่ง มันเด้งสู้มือผมอย่างท้าทาย จนกุ๊กต้องผงะปากสบตาผมแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ

“อือออออ.... พี่โจ้... จะดีเหรอ...?” ผมฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร ก้มหน้าระดมจูบเข้าที่ซอกคอกับหลังหูเธอจนตัวอ่อนป้อแป้ไปหมด สอดมืออีกข้างที่ว่างอยู่ เข้าไปปลดตะขอยกทรงของเธออย่างไม่ยากเย็นนัก จังหวะที่ผมกำลังพยายามจะรูดสายยกทรงเธอออกมานั่นเอง กุ๊กก็ดันตัวผมออก ใช้สองมือกอดอกปกปิดสองเต้าของเธอไว้แน่น

“พี่โจ้... หนูกลัว.. หนูกลัวว่าพี่จะทิ้งหนูว่ะ” น้ำเสียงเธอสั่นเหมือนเตรียมจะปล่อยโฮอีกแล้ว
“กุ๊ก... พี่รักกุ๊กนะ” ผมปล่อยคำพูดไม้ตายสุดท้าย ซึ่งเคยใช้กับสาวๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ในทุกๆ ครั้งที่พยายามจะตะล่อมให้สาวๆ พวกนั้นยอมมีอะไรด้วย

ผิดกันตรงที่ครั้งนี้ มันอาจจะไม่ใช่แค่เพียงคำพูดหวานๆ ที่เอาไว้คอยหลอกฟันสาวๆ เหมือนที่ผ่านมา บางทีผมเองนั่นแหละ ที่อาจจะรู้สึกพิเศษกับเธอขึ้นมาแล้วจริงๆ ก็ได้ กุ๊กฟังจบแล้วก็หลับตา มีหยาดน้ำตาใสๆ ซึมอยู่ข้างดวงตาของเธอ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณไฟเขียวให้ผมเดินหน้าต่อ ผมไม่รอให้เสียโอกาส ค่อยๆ ถลกเปิดเสื้อยืดตัวเก่งของเธอออกผ่านทางหัว รูดยกทรงผ้าฝ้ายลายจุดสีน้ำเงินของเธอออกตามมา เผยให้เห็นเต้านมอวบอิ่ม พร้อมๆ กับหัวนมสีแดงอมชมพูที่กำลังชูชันรอให้ผมเข้าไปสัมผัส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น