อาแปะแวะเวียนไปรับหนึ่งยังหน้าที่ทํางานเสมอๆ และพาไปหาอะไรกินกัน หลังจากนั้นก็มักจะเข้าไปหาความสุขกันในโรงแรมม่านรูด แต่หนึ่งไม่เคยยอมเข้าไปในวิมานชั่วคราวนั้น โดยที่หล่อนยังไม่มีนเมาเลย จะต้องมีเบียร์เข้าไปอุ่นในสายเลือด หล่อนจึงจะเคลิบเคลิ้มและมีอารมณ์ร้อนแรงไปด้วยไฟสวาท
อาแปะมอบความสุขให้กับหล่อนอย่างไม่ยั้ง หนึ่งคิดว่าอาแปะยอดเยี่ยมกว่าตั้มอย่างนี้นี่เอง แม่ของหล่อนจึงได้ส่งเสียงครวญครางอย่างระงม ความสุขความเสียวซ่านที่ได้รับทำให้หนึ่งยั้งใจไม่ได้ เมื่ออาแปะชักชวนไปหลับนอนกัน ก็มักใจอ่อนทุกที
อาแปะมักจะปลุกเร้าหล่อนจนเกิดอารมณ์รุนแรง แล้วหล่อนจึงเผลอไผล หลงระเริงไปในห้วงแห่งความสุข อาแปะจะใช้เรียวลิ้นของเขาระรัวเลียที่รอยร่องฉ่ำเยิ้ม เขาแหวกร่องสาวแล้วจรดเรียวลิ้นเลียไล้
เมื่อโดนโจมจู่ด้วยชิวหาหนักหน่วงเช่นนั้น หล่อนก็จะทนไม่ได้ แอ่นโคกร่อนรับและกระเด้งใส่ปากลิ้นของเขาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า อาแปะได้รับการตอบสนองเช่นนั้น เขาก็ยิ่งง่านหนักขึ้น ยิ่งกระหน่ำเรียวลิ้นระรัวรุนแรง หนึ่งก็บิดส่ายเรือนร่างเปลือยเปล่า บอกเขาว่าหล่อนอยากให้เขาเอาไอ้นั่นใส่เข้าไปข้างใน
หลังจากนั้นอาแปะก็บําเรอความสุขให้กับหนึ่ง นมอวบสองเต้าโดนอาแปะฟัดฟอนด้วยปากลิ้น เขาดูดและเลีย ปลายลิ้นดุนหัวนมแข็งเป็นไต ใช้ริมฝีปากขบคลึงหัวนมไปมา ยิ่งทําให้เสียวมากยิ่งขึ้น
เบียร์ช่วยให้ไม่ขวยเขิน หนึ่งกอดรัดร่างเปลือยของอาแปะ และยกนูนเนื้อแอ่นรับไปด้วย อาแปะก้มหน้าลงดื่มด่ำกับสองเต้าอย่างเมามันส์ พลางบั้นเอวก็ขยับ เคลื่อนลําเนื้อเข้าบ้างออกบ้างในร่องสาวของหนึ่ง
อาแปะกระแทกพั่บๆๆ รัวถี่ยิบ หนึ่งเสียวจนร่างสะท้าน บางครั้งวงแขนที่กอดรัดร่างของเขาอยู่ก็ผละออกด้วยการผวา เนื่องจากโดนลําเนื้อของเขากระทั่งโดนปากมดลูกเข้าอย่างจัง ทําให้เสียวสุดทน
อาแปะจะเสพสุขกับหนึ่งจนอ่อนเพลีย จึงจะพาหนึ่งกลับไปส่งบ้าน บางครั้งเขายังไม่หายอยาก ดังนั้นในระหว่างนั่งรถกลับมาด้วยกัน เขาจึงเอื้อมมือลูบไล้ไปตามต้นขาของหล่อน และหนึ่งเองก็มักจะลูบคลำเป้ากางเกงของอาแปะบ้าง และอาแปะก็ชอบที่จะงัดเอาของตัวเองออกมาให้หนึ่งกํารูดเล่น
ต่างล้วงควักลูบคลํากันจนเข้าเขตหมู่บ้านนั่นแหละ มันส์ในอารมณ์เสียจริงๆ มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลย และมันยิ่งทําให้หนึ่งกลายเป็นหญิงสาวที่ร้อนสวาทมากขึ้นด้วย โดยที่หล่อนเองก็แทบจะไม่รู้สึกตัว
...เพื่อนบางคนถามตั้มว่า ใครมารับหนึ่งตอนเลิกงาน ตั้มไม่รู้เพราะเขาไม่ค่อยได้สนใจ เขากําลังมัวเมาอยู่กับอนงค์ เขาลุ่มหลงสาวใหญ่อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น โดยนึกไปว่าหนึ่งจะไม่มีวันเป็นอื่น เพราะหล่อนตกเป็นของเขาแล้ว และคงจะยอมเป็นของเขาตลอดไป
“ใครมารับที่ไหนล่ะ หนึ่งเค้ากลับเอง”
“ลองดูซี พ่อของหนึ่งเค้าหรือเปล่า”
นี่แหละจึงทําให้ตั้มเริ่มเอะใจ เขาจึงตั้งต้นสังเกต และพบว่าคนที่มารับคืออาแปะ เขารู้สึกงงๆ อยู่เหมือนกัน ทําไมอาแปะมารับหนึ่ง แต่เขาก็บอกตัวเองว่าบางทีอาจเป็นความบังเอิญ
แต่วันต่อมา เขาก็พบว่าอาแปะมารับหนึ่งอีกแล้ว เขาปราดเข้าไปจะสอบถามก็ไม่ทัน อาแปะออกรถพาหนึ่งจากไปเสียก่อน
เขารู้สึกกระวนกระวายใจ แต่ก็ต้องรีบออกจากบริษัท เดี๋ยวจะไม่ทันไปรับอนงค์ ซึ่งบัดนี้คงกําลังยืนรอคอยเขาอยู่
ตั้มไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้อนงค์รับรู้ เขาเก็บเอาไว้ถามหนึ่งในวันต่อไปเมื่อเจอหน้าหล่อนในที่ทํางาน
ทีแรกหนึ่งก็สะดุ้ง แต่แล้วนึกได้ว่าเขาเริ่มระแคะระคายแล้ว หล่อนจึงยิ้มอย่างสะใจ ย้อนถามเขาไปว่าเห็นได้ยังไง
“เห็นซี สองวันมาแล้ว”
“อ๋อ...เพิ่งเห็นแค่สองวันน่ะหรือจ๊ะ”
ตั้มจ้องหน้าแฟนสาว หล่อนพูดแล้วหัวเราะราวเยาะหยันเขา ทําไมหล่อนต้องทํายังงั้น มันหมายความว่ายังไง หล่อนถามเขาว่าเห็นแค่สองวันเท่านั้นหรือ
“ถามยังงี้หมายความว่ายังไง
“ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก”
หนึ่งตอบอย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจด้วย ตั้มไม่สบายใจ ที่เห็นท่าทีของหนึ่งเป็นอย่างนี้ หนึ่งไปไหนกับอาแปะ มันน่าคิดไม่น้อย
“ทําไมต้องให้เขามารับด้วย”
หนึ่งยิ้มแล้วย้อนถามไปว่า “แล้วทําไมพี่ต้องไปรับแม่ด้วยล่ะ”
ตั้มสะดุ้งด้วยความตกใจ คําถามที่หนึ่งย้อนออกมา มันทําให้เขาตัวชาวูบ ...คําถามอย่างนี้แสดงว่าหนึ่งล่วงรู้หมดแล้วว่าเขาทําอะไรลง
แต่เขาก็ปากแข็งไว้ก่อน มันเรื่องอะไรจะยอมรับ เขาปฏิเสธส่ายหน้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หนึ่งเข้าใจผิดหรือเปล่า
“หนึ่งเข้าใจไม่ผิดหรอกค่ะ หนึ่งเข้าใจดีทุกอย่าง รู้และเห็นทุกอย่าง ไปรับที่หน้าสํานักงานตรงป้ายรถเมล์ แล้วก็พาไปเข้าม่านรูด แล้วก็ไปส่งถึงหน้าบ้านตอนดึกๆ ทุกคืน”
ตั้มอ้าปากค้างไม่ทันได้พูดอะไร หนึ่งก็เดินหนีไป มองตามหลัง ท่าทางของหล่อนคงสะใจอย่างยิ่งที่ได้พูดเรื่องนี้
ตั้มพยายามปรับความเข้าใจกับหนึ่ง แต่หล่อนก็ยืนยันคําเดิมว่า หล่อนรู้เห็นหมดทุกอย่าง ต่อให้อมพระมาแก้ตัวก็ไม่มีทางเชื่ออีกแล้ว
“เพราะยังงี้หรือไง หนึ่งถึงให้อาแปะมารับ”
“เขาดีกับหนึ่งมาก”
“หนึ่งเป็นบ้าไปแล้วหรือ หนึ่งเคยบอกเองว่าเขาเป็นคนยังไง”
“เขาเลิกหมดแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนดี” -
หนึ่งมักจะเดินหนีราวขยะแขยงเขา ตั้มรู้สึกว่าเขาจะต้องเสียหล่อนไป เขาคงจะต้องหยุดความสัมพันธ์กับอนงค์ลงก่อน เพราะหนึ่งกําลังจะหลุดมือ
เขาพยายามขอไปส่งหนึ่งที่บ้าน แต่อาแปะก็มารับไปต่อหน้าต่อตา เพราะหนึ่งไม่ยอมขึ้นรถของเขา หล่อนขึ้นรถอาแปะไปแล้ว เขาก็รีบขับรถตาม อาแปะก็พาหนึ่งเลี้ยวเข้าโรงแรมเอาดื้อๆ ตั้มเลี้ยวรถตามเข้าไป อาแปะก็ขับออกทาง อีกด้านหนึ่ง ตั้มมัวแต่รีบร้อนและตกใจ ...ก็ไม่ทันเห็นว่าอาแปะใช้ความว่องไวหนีออกไปแล้ว ทําให้เขาต้องขับรถวนเวียนเทียนมองหา แต่ไม่พบ
เขาไม่ได้ไปรับอนงค์ และไม่ได้บอกล่วงหน้า ทําให้อนงค์หลงแต่ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์อย่างหงุดหงิด บ่นกับตัวเองว่าตั้มหายไปไหนทําไมไม่มารับ รอหนักเข้าก็โกรธเรียกแท็กซี่กลับบ้านเอง
หล่อนพบว่าหนึ่งกลับมาถึงบ้านแล้ว อาแปะก็อยู่ในบ้านด้วย นานเหลือเกินที่หล่อนไม่พบหน้าค่าตาอาแปะ ก็ทักถามว่าเขาหายไปไหนมา
“ไม่ได้หายไปไหนมาหรอก” อาแปะตอบเรื่อย ๆ
ตั้มขับรถหาไม่พบ เขาก็นึกถึงอนงค์ขึ้นมาได้ ไปยังป้ายรถเมล์ที่หล่อนเคยยืนก็ไม่มีแม้แต่เงา เขาจึงขับรถตามมายังหมู่บ้าน จอดรถหน้าบ้านเทาว์เฮ้าส์ พบว่ามีรถของอาแปะจอดอยู่ก่อน
เขารีบลงจากรถเข้าไปในบ้าน ก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า เขามองหน้าคนโน้นคนนี้ อนงค์ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หนึ่งรีบขอตัวขึ้นข้างบน อาแปะทักทายเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้มวางสีหน้าไม่ถูก หย่อนก้นนั่งลงอย่างเงอะงะ
อาแปะชวนคุยเรื่องทั่วไป ซึ่งตั้มก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องสําคัญที่คาใจอยู่ ไม่นานนักเขาต้องลากลับเอาดื้อๆ อนงค์ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
กลับถึงบ้านแล้วตั้มจึงใช้โทรศัพท์ติดต่อกับอนงค์ กล่าวขอโทษที่เขาไปรับไม่ทัน เพราะมีธุระสําคัญ
“ถ้ามีธุระสําคญมากนัก ต่อไปก็ไม่ต้องไปรับหรอก”
อนงค์พูดอย่างน้อยใจ พอดีกับตั้มอยากจะหยุดความเกี่ยวพันอยู่ด้วย เขาจึงบอกว่าตัวเองคงไม่ว่างไปรับอนงค์อีกแล้ว ก็ทําให้สาวใหญ่ตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคําพูดประชดของหล่อนจะกลายเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
แต่เมื่อพูดไปแล้ว คนอย่างหล่อนก็ไม่ต่อความยาว แม้จะพึงพอใจเขามากเพียงใด แต่เมื่อเขาไม่เห็นความสําคัญ หล่อนก็ไม่ใช่คนที่ชอบง้อใคร
“งั้นก็ตามสบายเถอะตั้ม”
“อย่าโกรธผมนะ”
“อ๋อ...ไม่โกรธหรอก...คน อย่างฉันจะโกรธใคร โกรธใครไม่เป็นหรอก”
เห็นหล่อนไม่มีค่าแล้วใช่ไหม คนอย่างหล่อนไม่มีวันที่จะไร้ค่าหรอก คนที่ต้องการหล่อนยังมีอีกเยอะ
“เอ้อ...น้าคงยังไม่ทราบหนึ่ง เค้ารู้หมดแล้วนะว่าผมกับน้าน่ะมีอะไรกัน”
อนงค์ตกใจไม่น้อย หล่อนอุทานออกมา แล้วถามตั้มว่ารู้ได้อย่างไร เขาตอบว่าหนึ่งบอกเขาหมดแล้วว่าเห็นอะไรบ้าง
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะตั้ม”
“ไม่มีอะไรล้อเล่นเลยครับ ทุกอย่างที่ผมพูดออกไปน่ะมันเป็นความจริงทั้งสิ้น แล้วที่สําคัญนะตอนนี้หนึ่งกลับบ้านยังไงน้ารู้หรือเปล่า อาแปะนั่นแหละคอยไปรับหนึ่งทุกวันเลย”
อนงค์ใจหายวาบ เรื่องมันเป็นยังงี้จริงๆ หรือ หล่อนมัวแต่มั่วสวาทกับตั้มจนไม่สนอกสนใจอะไร รู้อีกทีทุกอย่างมันก็เป็นไปอย่างที่หล่อนไม่เคยคาดคิดมาก่อน
วางหูจากตั้มแล้ว อนงค์โทรไปหาอาแปะทันที ระหว่างรอสายให้อาแปะมารับ หล่อนกวาดตามองลูกสาวสองคนที่อยู่ข้างบน คงไม่มีใครลงมาตอนนี้หรอก
แล้วอาแปะก็รับสาย ได้ยินเสียงก็จําได้ ...ถามเขาว่าจําเสียงหล่อนได้ไหม อาแปะหัวเราะหึๆ
“ทําไมจะจําไม่ได้ล่ะจ๊ะอนงค์ มีอะไรเหรอ”
“มีซีถึงโทรมา แปะไปรับหนึ่งทุกวันเลยใช่ไหม”
“อ๋อ...นึกว่าเรื่องอะไร ก็สงสารเค้า ไม่มีใครไปรับ ต้องโหนรถเมล์กลับมันลําบาก ว่างๆก็เลยแวะไปรับ ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่จ๊ะ”
คําพูดของอาแปะเหมือนเติมไฟโกรธให้อนงค์ แต่หล่อนก็ไม่ยอมใช้เสียงดัง เพราะจะทําให้ลูกๆ ผิดสังเกต
“แปะนะ แปะก็รู้ว่าไม่สมควรทํายังงั้น”
“ก็แค่สงสารเด็กมันเท่านั้น”
“เอาล่ะแปะ ไม่ต้องพูดเยิ่นเย้อเลยนะ บอกมาตรงๆ เลยว่าทําอะไรลูกสาวฉันหรือเปล่า”
อาแปะหัวเราะหึๆ มาตามสาย จนอนงค์รู้สึกหงุดหงิด รําคาญเสียงหัวเราะแบบนี้เสียจริง มันแฝงเอาไว้ด้วยเลศนัยอย่างไรบอกไม่ถูก
“เปล่าอนงค์ ทําอะไรล่ะ ไม่ได้ทําอะไรเลย สงสารเด็กมันว้าเหว่ มีแฟนเขาก็ไม่สนใจ ไม่รู้ว่าหายไปไหน มีแม่ แม่ก็ไม่รู้มัวไปทําอะไรอยู่ เลิกงานแล้วก็ยังไม่กลับบ้าน เด็กขาดความอบอุ่น ก็ให้ความอบอุ่นเด็กมันบ้างเท่านั้น”
อนงค์ตัวร้อนฉ่า ตอบยังงี้หมายความว่าอย่างไร ให้ความอบอุ่นเด็ก อาแปะพูดยังงี้ไม่น่าฟังเลย
“แปะพูดยังงี้ทุเรศมาก”
“ทุเรศอะไรกัน แปะก็พูดตามประสาผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก”
“เอ็นดูอะไร หรือจะให้เด็กดูเอ็นกันแน่”
อาแปะหัวเราะหึๆ อีกแล้ว ถามให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ คุยกันทางโทรศัพท์คงไม่รู้เรื่อง หล่อนวางหูทันทีโดยไม่บอกกล่าว แต่งตัวออกจากบ้านไปหาอาแปะ แม้ว่าเวลานี้มืดค่ำมากแล้วก็ตาม
อาแปะก็เหมือนรอหล่อนอยู่ เขาเดาไม่ผิด หล่อนต้องแล่นมาหาเขา เขาต้อนรับอย่างกันเอง เหมือนทุกครั้งที่หล่อนมาเยือน
“นึกแล้วว่าอนงค์จะต้องมา”
“จําเป็นต้องมา ไม่อยากมาเหยียบนักหรอก แต่พูดกันทางโทรศัพท์มันไม่รู้เรื่อง แปะบอกมาตรงๆ เลยว่าทําอะไรหนึ่งหรือเปล่า”
อาแปะส่ายหน้า เขาทรุดนั่งที่โซฟายาว อนงค์ไม่ยอมนั่ง หล่อนกระวนกระวายเกินกว่าจะหย่อนบั้นท้ายลงได้
“สาบานได้ไหมล่ะแปะ ว่าไม่มีอะไรจริงๆ”
“มีอะไรก็บอกแล้วล่ะ นี่ไม่มี ก็ไม่รู้จะบอกได้ยังไง”
อาแปะใช้อารมณ์เย็นที่เป็นต่อ คําพูดที่นุ่มนวลอ่อนหวาน รู้จักอารมณ์ร้ายของผู้หญิง เขาค่อยประเล้าประโลม พักเดียวเท่านั้นอนงค์เองก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน ทีแรกตั้งใจว่าจะมาจัดการกับอาแปะให้เด็ดขาด แต่ลงท้ายก็กลับโดนอา แปะรุนร่างไปยังโซฟายาวแล้วใช้มันแทนเตียงนอนเสพสุขกับหล่อนอย่างถึงพริกถึงขิงบนนั้น
“อุ้ยแปะนี่ อะไรก็ไม่รู้ อย่า ไม่เอา เดี๋ยวคนเห็น”
“ใครจะมาเห็นจ๊ะ ม่านก็ปิดหมดแล้ว ถึงข้างในมีแสงไฟ ก็ไม่มีใครเห็นหรอกจ้ะเธอจ๋า มีแต่แปะคนเดียวเท่านั้นที่เห็น แล้วแปะก็ชอบดูเสียด้วย ของอนงค์น่ะมันน่าดูไปหมดทุกส่วนนั่นแหละ”
ครู่เดียวเรือนร่างของสาวใหญ่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน ขาวผ่องอยู่บนโซฟาเบาะนวมอันอ่อนนุ่ม ยุบตัวลงไปเมื่ออาแปะโถมร่างลงทาบทับร่างเปลือยของอนงค์ เขาเล้าโลมด้วยชิวหาก่อนเป็นอันดับแรกตามความถนัดของเขา และตามความชื่นชอบของอนงค์ด้วย
ลิ้นของอาแปะยังให้รสชาติเหมือนเดิมไม่มีผิด ร้อนแรงเร่งเร้า ไฟสวาทลุกฮือโหมอย่างกะทันหัน แค่โดนปลายลิ้นเท่านั้นก็ทําให้อนงค์ ร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟสุมทรวงเลือดลมฉีดแรง
อาแปะนัวเนียที่ร่องเนื้อแล้วหันมาฟัดฟอนสองเต้า มือค่อยๆ ลูบไล้ไปทั่วนวดบ้างเคล้นบ้างคลึงบ้าง แล้วแต่ว่ามือจะไปสะดุดเอาส่วนไหนของร่างกาย แค่มือที่ไล้ลูบไปก็ทําให้อนงค์กระซ่านน้ำฉ่ำแล้ว
อาแปะปลุกเสียวจนอนงค์กระซ่านสุดระงับได้ แล้วเขาก็ขยับตัวเสียใหม่ประคองลําเนื้อตัวเอง เตรียมส่งมันเข้าไปในอ่างสวรรค์ฉ่ำเยิ้ม อนงค์ก็กําลังรออยู่ แต่ก่อนจะเอาเสาเอกลงหลุม เขาก็ใช้มันไถเล่นตามปากหลุมเสียก่อน ทําให้เจ้าของหลุมเกิดอาการเสียวซ่านร่านร้อนมากขึ้น บางทีเขาแกล้งทํามันถลําเข้าไปหน่อย ก็ทําให้อนงค์ผวาติดหมัดขึ้นมา แล้วเขาก็ไม่ได้หย่อนแหย่ลงไปจริงๆ จังๆ ถอนขึ้นมาอีก แล้วค่อยจุ่มลงไปใหม่จนอนงค์ต้องร้องออกมาว่า จะทรมานหล่อนนานอีกสักเท่าใด จึงจะยัดเยียดมันเข้าไปทั้งหมด
อาแปะโน้มร่างกระซิบถาม ข้างใบหูอนงค์ว่า “อยากมากแล้วหรือจ๊ะอนงค์จ๋า”
“แปะจ๋า อยากจนไม่รู้จะอยากยังไงแล้วจ้ะ”
เป็นคําตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่าและกระเส่า เต็มไปด้วยความงุ่นง่ามเต็มปรี่คล้ายจะอ้อนวอนให้เขากระแทกลงไปเลย ถ้าเป็นไปได้หล่อนเองก็อยากจะจับอาแปะนอนลงและตัวเองเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมขย่มตอเนื้อให้อาแปะร้องเสียงหลง
แต่หล่อนก็ไม่สามารถทําได้ เพราะอาแปะคร่อมอยู่ข้างบนไม่ใช่ตัวหล่อน แต่อาแปะก็ไม่ใจร้ายเกินไป เขากระแทกลงในอ่าวแล้วหัวฉลามของเขาบุกพรวดเปิดปากอ่าวแยกออกจากกัน ...จนทั้งหมดของอาแปะ สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้ อนงค์นั่นแหละถึงกับผวา เพราะมันออกจะพรวดพราดมากไปหน่อย
“ว้าย...อาแปะ เอาอีกแล้ว ชอบทํายังงี้เรื่อยเลย ใจหายใจคว่ำหมด เดี๋ยวหัวใจวายกันพอดี”
อาแปะหัวเราะหึๆ แล้วหลังจากนั้นอนงค์ก็เป็นฝ่ายส่งเสียงครวญครางตามความหนักเบาของการโหมกระหน่ำ อาแปะเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปไม่มีหยุดยั้ง หนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป และเวลาที่เขาส่ายบั้นเอวคว้านมันก็ทําให้อนงค์ถึงกับครางอ๋อยๆ
อาแปะหื่นเป็นพิเศษ เพราะเขาดันนึกไปว่าเจ้าร่องเนื้อนี้แหละ ที่ตั้มเคยใส่สอดเข้าไปแล้วตอนนี้หล่อนก็กลับมาให้เขาได้สอดใส่เหมือนก่อน อนงค์ตัณหาร้อนแรงไม่มีอิ่มหนํา อยู่กับเขาหล่อนก็กระซ่านหนักหน่วง ยามเมื่อไปอยู่กับตั้มก็คงเช่นเดียวกัน เขาจึงอยากจะเล่นรักชนิดที่เหนือเจ้าตั้มคนนั้น ให้อนงค์ได้รู้แน่ชัดไปเลยว่า ระหว่างเขากับตั้มใครแน่กว่ากัน
อาแปะปล่อยให้ตัวเองสนุกเต็มที่ ...ไม่มียั้งหรือบันยะบันยัง อยากทําอะไรก็ทําไปเลย จับอนงค์คุกเข่าแล้วรัวกระหน่ำพวงสวรรค์กวัดแกว่งเกิดกระทบกระทั่งดังแปลกหูนัก แต่มันก็เร้าใจทําให้อนงค์เกิดอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงนั้นพร้อมกับรู้สึกถึงการฟาดฟัดของมันกับแถวง่ามขาของหล่อน
มันไม่ใช่เตียงนอน เป็นแค่โซฟา แต่อาแปะก็ใช้ประโยชน์ได้เต็มเปี่ยม เขาจับอนงค์เล่นรักบนโซฟาตามใจชอบ หล่อนไม่เคยขัด ไม่ว่าคว่ำหรือหงาย หล่อนยินยอมทุกอย่างและหล่อนก็ได้รับความสุขอย่างเต็มที่ ลืมตั้มไปเลยว่าเขาเคย ทําอย่างไรกับหล่อนบ้าง แท้จริงแล้วตั้มก็ไม่น่าจะสู้อาแปะได้ มีแต่ความหนุ่มแน่นเท่านั้นที่ตั้มมีอยู่มาก และอาแปะมีอยู่น้อย
...อาแปะโหมกําลังที่มีอยู่อย่างเนิ่นนานท่ามกลางเสียงคราง๋อ้อยๆ ของอนงค์ จนต่างทานทนต่อความเสียวซ่านไม่ไหวจึงสําเร็จกิจเกือบพร้อมกันด้วยความสุขท่วมหัวใจ !
*******************************************************
วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
หอมกลิ่นโลกีย์ ตอนที่ 20
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น