มีเรื่องหนึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาผมคิดเสมอว่า ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ด้วยความสัตย์จริง ก่อนหน้านี้ผมได้ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ กับทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นระว่างผมกับอั้ม แม้ว่าความทรงจำของตัวผมเองลึก ๆ มันยังคงจำทุก ๆ อย่างทุก ๆ เหตุการณ์ได้แม่นยำ เพราะเธอคือประสบการณ์ครั้งแรก ที่ผมได้มีอะไรกันในฐานะเพื่อน ซึ่งผมกับเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ….เพราะคำว่าเพื่อนในเด็กช่าง….มันทำให้ตัวผมเองอยากจะลืมเรือนมันได้ลงง่าย ๆ….ด้วยเวลาที่ผ่านไปนาน และผมก็ทำมันได้จริง ๆ ผมพยายามไม่เคยคิดถึงมันเลยมาตลอดหลายปี….จนกระทั้งทุกอย่างมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง….(ผมขอเล่าแบบไปเรื่อย ๆ และละเอียดหน่อยนะครับ) เรื่องราวมันเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้น่าจะปลายเดือนธันวาคม ปี2565 ก่อนอื่น ผมขอเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอั้ม อั้มเธอคือหญิงหม่ายลูกติด 1 เธอคือเพื่อนผมสมัยที่ผมเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ ปวช. ปวส. และยังตามกันมาเรียนต่อ มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ต่างคณะกัน ผมเรียนต่อเนื่องสถาปัตย์ส่วน อั้มเปลี่ยนแนวไปเรียนต่อออกแบบดีไซน์ แม้ว่าตอนเรียน ป.ตรี จะไม่ได้กลับบ้านด้วยกันตลอด เหมือนตอนเรียน ปวช. ปวส. แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส ก็จะกลับด้วยกันอยู่เสมอ ๆ และก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่ได้ชวนกันไปเที่ยว ตลาดนัดจตุจักร งานวันเกิด..หรือแม้แต่ทริปเที่ยวค้างคืนต่างจังหวัดเธอไม่ใช่แค่เพื่อน แต่อั้มคือเพื่อนสนิทที่สุดของผมเลย ที่เป็นผู้หญิง….เราพูดกันได้ทุกเรื่อง และอั้มก็เป็นคนพูดตรง…จากวันที่เราเรียนจบผ่านไป 5 ปี ที่ไม่ได้เจอกัน...แล้วได้มาเจอกันอีก…จนเกิดเรื่องราวที่ผมกับอั้ม (พลาด) มีเอากันแบบงง ๆ (มั้ง)…และจากครั้งนั้นก็ผ่านมา 5 ปี จากปี 2018 จนถึงปัจจุบัน ผมกับอั้มก็ยังติดต่อคุยกัน เพราะเรามีทั้ง line และเบอร์โทรกัน และกันเราคุยกันเดือนละครั้ง หรือถ้านานสุดก็ปีละครั้งเพราะด้วยเส้นทางอาชีพ และการดำเนินชีวิตทุกคนต้องมีสิ่งที่ต้องทำและรับผิดชอบแม้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแต่อย่างน้อยเราไม่เคยคิดจะหายจากกันเลย หลังจากไม่เจอกันนานก่อนหน้า 5 ปี เพื่อนก็คือเพื่อนอยู่เหมือนเดิม จุดเริ่มในครั้งนี้..ในช่วงต้นเดือนธันวาคมชีวิตผมมันก็เหมือน ๆ เดิมทุกวัน ที่ผมต้องตื่นเช้าไปทำงาน โทรหาแฟน และไปหาแฟนในบางวัน ชีวิตผมก็ปกติวนลูบ แต่อาจจะมีบ้างที่ผมออกนอกลู่นอกทาง แต่ก็ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น จนผมต้องมีเรื่องมาให้คิดหรือโฟกัส หลังจากเย็นเลิกงาน ซึ่งเป็นวันที่ 3 ผมก็เดินทางกลับบ้านในช่วงที่ผมกำลังนั่ง BTS กลับ อยู่ ๆ ก็สายโทรเข้าเครื่องผม โดยที่ไม่ในรายชื่อเครื่องผม แต่ผมก็กดรับ (เผื่อเป็นสายงานจ๊อบ) จังหวะที่ผมรับ ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า "เอ้ยเพื่อนแกเป็นไงบ้าง สบายดีไหมว่ะ" ตอนนั้นผมตกใจ เพราะผมรู้เลยว่าเป็นอั้ม (ผมจำน้ำเสียงและสำนวนการพูดเธอได้) แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอโทรหาผม เพราะอะไร ผมก็ได้ตอบกลับเธอไปว่าผมสบายดี และผมก็ได้ถามไถ่เธอกลับในตอนนั้นเธอก็บอกว่าเธอได้เปลี่ยนเบอร์ใหม่ และได้ถามถึงร้านอาหารแถวรังสิต ว่ามีร้านไหนแนะนำเธอได้บ้าง (เพราะบ้านผมอยู่แถวนั้น) และที่สำคัญอั้มจะชวนผมไปทานด้วย…พอผมได้ยินแบบนั้น ผมก็แนะนำร้านให้เธอ แต่ก็ได้ปฎิเสธที่จะไปด้วย โดยที่ผมอ้างว่าช่วงนี้งานผมเยอะ (ผมไม่สบายใจที่จะไป) แต่ดูเหมือนอั้มก็จะพอรู้อยู่ ว่าตัวผมไม่อยากจะไป "เพราะสาเหตุอะไร" เธอได้รีบอธิบายว่าตัวเธอกำลังจะหมั่นกับรุ่นน้องที่ทำงาน บริษัทเดียวกัน และจะแต่งงานกันหลังจากนั้น ซึ่งคนที่เธอจะหมั่น อายุน้อยกว่าเธอ 5 ปี (อั้มอายุ 35 ปี แฟน 30 ปี ) โดยเธอให้เหตุผลผมมาว่า ผมเป็นเพื่อนผู้ชายที่เธอสนิท และไว้ใจมากที่สุด และเธอไม่อยากพลาดเหมือน ตอนเธอแต่งกับรุ่นพี่เธอ จึงอยากชวนผมไปทานข้าว เพื่อให้ผมไปเห็นแฟนเธอ จะได้สแกนให้เธอด้วย และอั้มย้ำคำว่า เธอไม่อยากจะพลาดอีกเป็นครั้งที่ 2…หลังจากผมฟังที่อั้มเล่ามา ผมเปลี่ยนใจตอบรับจะไปทันที ด้วยที่ว่ามันมีเหตุและผล และซึ่งมันสำคัญ ว่ากันจริง ๆ แล้ว ตัดเรื่องคราวก่อนออกไป อั้มก็เพื่อนที่ดีสำหรับผมมาตลอด ไม่มีเหตุผลไหนที่ผมจะไม่ไปเมื่อเธอร้องขอให้ช่วย ผมจึงเปลี่ยนใจตกลงรับปากไป จากนั้นอั้มก็นัดวัน และก็เป็นวันเสาร์ที่ 6 และเป็นร้านอาหารที่ผมได้แนะนำไป หลังจากผมวางสายไปตัวผมเองก็มานั่งคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน บางทีตัวผมเองอาจจะคิดมากไปทุกครั้ง และเก็บเรื่องนั้นมาผูกปมตราบาปไว้คนเดียว ในขณะที่ตัวอั้มเธอก็โตพอที่จะปล่อยมันผ่านไป กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตลอดการคุยกันทุกครั้ง หลังจากเกิดเรื่องเมื่อ 5 ปี รวมถึงไม่กี่นาทีที่ผมวางสายไป ผมสัมพัสได้ว่าเธอไม่เคยติดใจ หรือแม้แต่จะพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ….ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี และตัวผมเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย กับการจะไปเห็นหน้าแฟนอั้ม อยากให้เพื่อนได้เจอกับคนที่ดี หลังจากวันนั้น จนมาถึงช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 6 ซึ่งเป็นวันนัดทานข้าวของ ผมและอั้มกับแฟนโดยที่วันนั้นผมได้ลางานออกก่อนเลิกงาน 2 ชม. เพื่อที่จะเลี่ยงการเดินทางในช่วงรถติด เพราะผมนั่งแท็กซี่ไป และตัวผมจะต้องไปถึงก่อน เพราะผมเป็นดิวโต๊ะที่ร้านไว้ พอผมไปถึงร้านช่วงประมาณ 5 โมงครึ่ง ซึ่งร้านอยู่ระแวกแถวรังสิตดอนเมือง เป็นร้านที่มีวิวสระบัวมีลานโต๊ะอาหารกลางแจ้ง และส่วนของห้องแอร์ภายในร้านโดยรวม ค่อนข้างตกแต่งได้สวยงามสวยยิ่งกว่าที่ผมเคยมาในครั้งก่อน ในตอนนั้นผมได้จองโต๊ะที่ลานกลางแจ้ง ส่วนที่นั่งก็ติดกับราวกันตกที่เป็นไม้กั้นล้อมเพื่อที่จะได้เห็นวิวสระน้ำ….และช่วงเวลานั้นที่ผมนั่งรอ ผมได้สั่งเบียร์มา 2 ขวดพร้อมกับกับแกล้มเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมนั่งดื่มชิว ๆได้ซักประมาณ 6 โมงเย็นนิด ๆ โต๊ะอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันมาและอั้มก็โทรศัพท์เข้ามาพอดีว่สเธอมาถึงแล้ว โดยที่ผมก็บอกตำแหน่งว่านั่งตรงใหน ในขณะที่ผมนั่งมองไปที่ บริเวณซุ้มประตู ทางเข้าร้าน จังหวะนั้นผมได้เห็นอั้มที่กำลังเดินจับมือกับแฟน พอสองคนได้มองเห็นผม อั้มก็รีบโปกมือทักทายผม พร้อมกับเดินตรงเข้ามาที่ผม จนเกือบจะถึงโต๊ะที่ผมนั่ง 2 คน ก็ได้ถอดแมสปิดปากออกพร้อมกับในจังหวะนั้น แฟนของแอน ชื่อ "อิน" (รู้ชื่อภายหลัง) ก็ได้ยกมือสวัสดีผม และผมก็รีบรับไหว้….ในครั้งแรกที่ผมเห็นอิน เขาไม่ใช่คนถึงกับหล่อมากมาย และดูรู้เลยว่าไม่ใช่คนกรุงเทพ แต่ภาพรวมก็ดูดี เป็นคนบุคลิกดูเรียบร้อย แต่งตัวดีใส่เชื้อแขนยาวสีฟ้ากางเกงผ้าสีดำ ดูสะอาดสะอ้าน ผิวตัวขาว ทรงผมสั้นใส่แว่นสายตา สูงน่าจะเกิน175 ซม. เพราะดูตัวสูงกว่าอั้ม ที่สูงประมาณ 169-170 ซม. (อั้มตัวสูงเกือบเท่าผมที่สูง 173 ซม. แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น สิ่งที่ผมกำลังโฟกัสมากว่าก็คือ ตัวอั้ม โอ้ววครับ….วันนั้นอั้มเธอดูดีมาก ดูเธอผอมลงไปมาก (แต่หน้าอกยังอึ้มเหมือนเดิม) และยังคงผิวตัวขาวจั๋ว (แบบออร่า) เธอดูดีกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยซ้ำ ไล่ตั้งแต่ทรงผม ด้านหลังรวบผมมัดจุกกลม และปล่อยปลายผมด้านหน้าสองข้าง ส่วนหน้าตาเธอยังคงดูดี ดูสวย รูปหน้าเรียว จมูกโด่ง ตาโต ตามสไตล์คนที่มีเชื้อลูกครึ่งฝรั่ง และที่สำคัญลุคการแต่งตัวอั้ม มันช่างดูดีไปหมด ไล่ตั้งแต่เสื้อสูทสีขาว ใส่แบบพาดหลังคลุมหัวไหล่สองข้าง ส่วนเสื้อเป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาวคอจีน ทรงรัดตัวเข้ารูป (ซึ่งมองเห็นเป็นรูปทรงหน้าอกใหญ่ ๆ ของเธอได้ชัดเจนมาก ) และใส่ทับในด้วยกางเกงหนังทรงเอวสูงสีดำเข็ม ผิวด้าน (ผิวไม่เงา) มีกระดุมและซิปด้านหน้า และที่สำคัญกางเกงหนัง มันรัดแนบเนื้อของทุกส่วน ด้านล่างไปหมด รัดทั้งสะโพกและหน้าท้อง รัดตรงกลางเป้าเป็นรูปนูนโค้งรวมไปถึงรัดก้นและรัดแนบเนื้อ ไปกับต้นขาที่อวบ ๆ ทั้งสองข้าง…ส่วนรองเป็นบูทส้นสูงสีดำ…โอ้ววครับ….ซึ่งมันดูเท่ห์ดูสมาร์ท และเซ็กซี่ในแบบฉบับสาวมั่น ดูทันสมัยตามสไตล์ ซีเนียร์อินทิเรียดีไซน์จริง ๆ ผมเห็นแล้วก็ยังรู้สึก มีอารมณ์ขึ้นตามมาทันที (ผมเชื่อว่านอกจากคนที่ชื่นชอบ คนตัวเล็ก ๆ หรือหุ่นผอมแห้งแบบพวกโมเดล เท่านั้นที่จะไม่ชอบเธอ)……..แต่ในตอนนั้น ผมก็ยังมีสติ ยังคงรู้ว่าอะไรคืออะไรในระหว่างนั้น ทุกคนก็ได้นั่งที่โต๊ะอาหาร โดยที่สองคนนั่งคู่ตรงข้ามผม และตรงข้ามหน้าผมคืออั้ม ช่วงแรกที่ผมเจออั้ม เธอแสดงออกถึงความดีใจที่ได้เจอผมอีกครั้ง ผมก็แสดงออกเช่นกัน ช่วงเวลาที่นั่งรออาหาร และจนเริ่มทานอาหารกัน ผมสามคนก็ได้คุยกันหลายเรื่องผมก็ได้รู้ว่าอิน ไม่ใช่อินทิเรียแบบอั้ม แต่เป็นส่วนติดตั้งก่อสร้างของบริษัทเดียวกัน และอินเป็นคนสงขลา แต่ย้ายมาราชบุรี 10 ปีก่อน เพราะพ่อรับราชการแม้ว่าช่วงการคุยกัน ตัวอินแฟนอั้มก็จะดูเกร็ง ๆ ตัวผมอยู่บ้าง และก็มีจังหวะที่อั้มถามผมต่อหน้าทุกคนว่า อินแฟนเธอเป็นยังไงบ้าง เธออย่างรู้จากปากเพื่อน ผมก็ตอบไปว่า " เท่าที่เห็นในตอนนี้ เราว่าอินก็ดูภูมิฐานน่ะ แต่จะดูเรียบร้อยไปนิดนึงสำหรับแก" ทุกคนก็พากันหัวเราะ และอั้มก็ถามผมต่อว่า "แล้วแกว่าเรา (อั้ม) เป็นไงบ้างว๊ะ เหมาะสมกับอินใหม ?" ตอนนั้นพอผมได้ยิน ผมก็มองไปที่หน้าอั้ม เธอก็ดูลุ้นกับคำตอบ แล้วผมก็ตอบกลับว่า " บอกตรง ๆ เลยเพื่อน แกเหมาะสมกันแล้ว สำหรับแกยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งสวยเราพูดจริง ๆ " พออั้มได้ยินเท่านั้น เธอก็หัวเราะลั่น และพยายามจะบอกทุกคน ว่าเธอสวยขึ้นเรื่องจริงแต่คำว่าแก่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ ซึ่งทุกคนในตอนนั้นก็หัวเราะตามในห้วงเวลาที่ผมสามคนนั่งกินไปเม้ากันไป ตัวผมเองก็รู้สึกแปลก ๆ กับตัวเอง ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันคืออะไรเหมือนภาพอั้ม ที่อยู่ตรงหน้าผม ซึ่งกำลังจะหมั่นเร็ว ๆ นี้ ผมไม่รู้ว่าจะดีใจด้วยหรือเสียดายเธอ ในตอนนี้…(ผมสับสน) ..ในระหว่างที่ผมนั่งดื่มเบียร์หมดแก้ว ผมก็ขอตัวไปสูบบุหรี่ และเดินออกไปที่สำหรับสูบบุหรี่ติดกับห้องน้ำชาย ขณะที่ผมจุดบุหรี่สูบได้แค่ครึ่งมวน อินก็เดินเข้ามาหาผม แล้วพูดถามผมออกมาว่า "พี่ผมขออนุญาตถามหน่อย พี่กับอั้มรู้จักกันมานาน อั้มเค้าเป็นคนยังบ้างไง ชอบอะไรไม่ชอบอะไร ข้อดีข้อเสียของเธอ ผมอยากจะรู้ไว้ครับว่าตรงกับที่ผมเข้าใจไหม...แต่อย่าบอกว่าผมถามน่ะ" ผมได้หันไปตอบอ้นทันทีว่า "อั้ม... ก็เป็นคนตรง ๆ อย่างที่นายเห็นนั่นหละ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่อยู่ด้วยจะชอบไหม มันเป็นคนพูดตรง ปากไว มือไวด้วย ถ้าพูดไม่เข้าหู แต่ถ้าเรื่องไม่ชอบมาก ๆ ก็คงเป็นการโดนนอกใจมั้ง" พออินได้ยินก็พยักหน้า และเป็นผมที่ถามอินกลับว่า "แล้วนายแหละรู้สึกกับอั้มยังไง เธอ 35 ปี แล้วนะมีลูกโต10 ขวบแล้วด้วย นายมั่นใจว่า รับเธอได้ใช่ใหม? " อ้นได้ยินก็ตอบกลับผมทันทีว่า "อายุและมีลูกแล้ว ผมรู้ และยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเลยจริง ๆ ผมขอแค่เธอรักผมแบบที่ผมรักเธอก็พอแล้วครับ "…..โอ้วววครับ…..ผมได้ยินทุกคำพูดที่อินบอก….ผมสตั๊นไปหลายวิ…..ไม่ใช่ว่ามันฟังดูแล้วลิเก...แต่คำพูดมันสะท้อนมาที่ตัวผมเต็ม ๆ ที่ในครั้งหนึ่งผมเคยมีอะไรกันกับอั้มโดยที่อั้มคนที่อินรักจนสุดหัวใจเคยนอนดูด เคยนอนอมท่อนควยผม และเคยโดยควยผมสอดเข้ารูสวาท จนน้ำแตกพากันขึ้นสวรรค์มาก่อนหน้าที่ 2 คน จะเจอกันชะอีก ผมฟังแล้วรู้สึกละอายใจตัวเองมาก ถ้าเกิดอินรู้เรื่องนี้….กับคนที่รักอั้มที่สุดแบบนี้ ผมว่าต้องมีฆ่าตัวตายแน่ ๆ จากนั้นผมก็คุยกับอินจนผมสูบบุหรี่หมด ก็เดินกลับโต๊ะด้วยกัน โดยที่อั้มก็มีสีหน้าสงสัยว่า ไปแอบคุยกันอะไรมาหรือเปล่า ผมกับอินก็พยามปฎิเสธว่า "คุยแค่เรื่องฟุตบอล" จากนั้นก็ปกติไม่มีอะไร เราสามคนก็นั่งดื่มเบียร์ต่อ ทุกอย่างก็ราบรื่นเต็มไปด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ จนกระทั้งเวลา 5 ทุ่ม ผมสามคนก็พากันกลับ วันนี้มีรถคันเดียว เป็นรถแคมรี่ ของอั้ม ซี่งเธอก็ให้ผมขับ โดยที่แผนตอนแรกในตอนนั้น ต้องไปส่งอินก่อนที่แถวอโศก (สองคนนั้น ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน) และไปแวะส่งผมที่กรุงธนบุรี ส่วนอั้มอยู่คอนโดท่าพระซึ่งใกล้ ๆ กับผม จากนั้นเราสามคนก็เดินทาง ผมขับรถออกไปมีอั้มนั่งเบาะหน้ากับผมส่วนอินนั่งหลัง พอมาถึงหอพักอิน ก่อนอินจะลงจากรถ โดยที่อั้มและอินก็โน้มตัวไปกอดและหอแก้มกัน พูดร่ำลากัน มีผมนั่งดูอยู่ข้าง ๆ….จากนั้นผมก็ขับรถไปต่อสองคน ผมกับอั้ม ก็คุยกันทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ได้พูดอะไรที่ลึกซึ้งกว่า เรื่องที่เคยคุยกันที่โต๊ะอาหาร จนกระทั้งผมขับไปถึงสวนลุม อั้มก็ให้ผมวนรถไปจอดเรียบเคียงฟุตบาทที่สวนลุม ตรงนั้นเป็นที่มืดแต่ก็พอมีแสงร่ำไรพอมองเห็น รถก็ผ่านน้อยอาจจะเริ่มดึกแล้วด้วย โดยที่อั้มก็ได้เปิดประตูแล้วลุกออกไปและเรียกผมออกมาด้วย ในตอนนั้นผมก็ยังงง ๆ ตอนแรกผมคิดว่า อั้มจะออกไปอวก เพราะผมสามคนดื่มไป ลังกว่า ๆ แต่ไม่ใช่ อั้มบอกมีเรื่องอยากจะพูดด้วย และตอนนั้นเราสองคนไปยืนพิงที่รั้วสวนลุม และในตอนนั้นอั้มก็ให้ผมสูบบุหรี่ได้เลย และผมก็จุดสูบ โดยที่เธอก็เอ่ยถามผมตรง ๆ ว่า "อินคุยอะไรกันแก" (ในช่วงหน้าห้องน้ำ) ตอนนั้นผมคิดว่าเรื่องที่ผมกับอินคุยกัน มันไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง เพราะมันแค่คำถามธรรมดา ผมจึงเล่าให้อั้มฟังทั้งหมด (ทุก ๆ คำพูด) พออั้มได้ฟังเธอก็น้ำตาซึม น้ำเสียงสั่น และพูดบอกกับผมตรง ๆ ว่าจริง ๆ ไม่รู้ตัวเธอกับอินจะเป็นยังไง มันเป็นเรื่องอนาคตของเธอบอกต่ออีกว่าในช่วงเวลาหลายปีที่อยู่คนเดียว หลังจากหย่ากับผัวเก่าเธอยอมรับว่าเหงามาก ตื่นขึ้นมาทุก ๆ เช้าก็มีแต่ลูกนอนข้าง ๆ บางวันลูกไม่อยู่ก็ไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ กายเลย เธอยอมรับตรง ๆ ว่า แม้ว่าเธอจะแกร่งดูเก่ง ดูแลตัวเองได้ แต่ลึก ๆ ก็อยากมีใครซักคน ที่มาดูแล จังหวะที่อินเข้ามาจีบ เธอก็คิดจะลองเปิดใจอีกซักครั้ง ในช่วงที่อั้มเล่า น้ำตาเธอก็ไหลออกมาตลอดและจุดที่พีคที่สุดอั้มได้บอกผมว่า "ค่าสินสอดเธอแค่แสนเดียวกับทอง 2 บาทเอง แต่เธอไม่ได้มองเรื่องนั้น (เงินเดือนเธอครึ่งแสนและบ้านเธอก็มีฐานะ) เพราะเธอแค่ขอให้ใครซักคนที่รักเธอ และพร้อมจะดูแลเธอจริง ๆ " แล้วจังหวะนั้นผมก็เอามือยื่นไปลูบที่หน้าอุ้มและใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาเธอ ผมพยามปลอบเธอแต่อยู่ ๆ อั้มก็ขยับตัวจากด้านข้างผม แล้วมายืนตรงหน้าผมมองมาที่ผม จ้องหน้าผมทั้งคราบน้ำตา จากนั้นก็โถมทั้งตัวมากอดผม ด้วยมือซ้ายคล้องที่ไปคอ มือขวาสอดรัดที่เอวผม…..รัดแบบแนบแน่นทั้งตัว…ผมรีบพูดออกไปว่า "เอ้ยย..ไม่นะเพื่อน…อย่าทำแบบนี้เลยไม่เอา ๆ " อั้มที่กอดผมก็ส่ายหัวไปมา แล้วพูดขึ้นมาว่า " ไม่ ๆ เพื่อน มันไม่ใช่แบบนั้น ตอนนี้ข้าแค่อยากจะกอดแก เพราะตอนนี้อยากกอดใครซักคนที่ไว้ใจ"….พอผมได้ ก็ปล่อยให้เธอกอด…..ในตอนนั้นเราสองคนก็ยืนกอดกันแบบนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่มีแม้แต่คำพูดใด ๆ มีเพียงเสียงลมหายใจผม และการสะอื้นของเธอ (เธอคงตื่นตันใจมาก) แต่ในขณะนั้น ความรู้สึกที่ผมกำลังได้รับ จาการสัมผัสของการกอดรัดแน่นของอั้ม นอกจากกลิ่นน้ำหอมจากตัวเธอที่หอมชวนฝัน….ก็เป็นสองเต้านมขนาดใหญ่ที่อัดแนบกับหน้าอกผมมันทั้งใหญ่ทั้งนุ่ม และยิ่งไปกว่านั้น ส่วนด้านล่างของอั้ม ที่มีกางเกงหนังสีดำที่รัดแนบเนื้อ แบบรั้งตึงบริเวณเป้า ก็แนบอัดไปที่กลางเป้าตุงขอฝผม…..รวมทั้งมือสองข้างผมก็ดันวางแปะจับที่ก้นทั้งสองข้างเธอพอดีจนกระทั้งผมเกิดมีอารมณ์ พร้อมกับทีอนเอ็นผมก็เริ่มแข็งตั้งโด่ กับสิ่งที่ตัวผมกำลังได้สัมผัสอยู่ในวินาทีนั้น อารมณ์ที่ผมมี ก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนผมควบคุมไว้ไม่ไหว เจ้าโลกผมมันแข็งโด่จนเจ็บไปหมด ผมจึงตัดสินใจพูดขึ้นทันที ตอนนั้นว่า "อั้มข้าว่า...เรากลับกันเถอะเพื่อน" อั้มที่สะอื้นอยู่ก็ตอบกลับเบา ๆ ว่า "หือ..แกง่วง...อยากกลับแล้วหรือ" พอผมได้ยินผมก็รีบพูดตอบเธอไปตรง ๆ เลยว่า "เปล่าเพื่อน แต่เต้านมและเป้าด้านล่างแก มันทิ่มตัวข้าอยู่จนควยข้าโด่แข็งไปหมดแล้วเนี่ยย… " พอเธอได้ยินจากที่ก็หัวเราะทั้งสะอึก รีบพลักตัวผมออก แล้วพูดว่าผมทันทีว่า "แกนี่มันคนลามก...บ้าก้ามจริง ๆ " ผมก็ตอบสวนทันทีว่า "ข้าคนนะไม่ใช่ปูนปั้น โดนแบบนี้ก็มีอารมณ์บ้างชิ ก็เพราะแกคงดูเซ็กซี่ด้วย แกก็รู้ว่าข้าชอบทรงนี้" เธอยิ้มและก็หัวเราะ พร้อมกับเอามือซ้ายฟาดเบา ๆ ที่ไหล่ขวาผม แล้วหันหลังกำลังจะเดินขึ้นรถแต่ในจังหวะนั่นเองผมไม่รู้คิดอะไรอยู่ (ไม่รู้ผมคิดได้ยังไง) อาจจะเพราะอารมณ์ต่อเนื่องของผมที่พาไป จังหวะอั้มกำลังก้าวเดินไปที่รถ ผมได้ใช้ฝ่ามือขวาผมยื่นสอดเข้าช่องระหว่างสองง่ามก้นอั้ม ที่รัดแน่นตึงด้วยกางหนัง ผมสอดแล้วจับและบีบไปที่ก้นฝั่งขวาเธอ….แบบเต็ม ๆ ฝ่ามือ….อั้มถึงกับสะดุ้งตัวแรง แล้วใช้มือซ้ายฟาดไปที่ไหล่ผมอีกครั้ง แล้วพูดแบบที่เล่นทีจริงว่า "นี่ถ้าแกแอบจับก้นข้าอีก ข้าจะไปฟ้องอินแฟนข้าแน่ คอยดู เดี่ยว ๆ " ผมก็หัวเราะและก็บอกไปว่า "ก็ข้าหมั่นเคี่ยวแกนี่หว่าก้นฟิตจริง ๆ " เธอก็ยิ้มหัวเราะ หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถ และอั้มก็เป็นคนขับไปส่งผมที่ bts กรุงธนบุรี และเธอก็ขับรถกลับคอนโดที่ท่าพระ หลังจากวันนั้น ผ่านมาเป็นอาทิตย์ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร อยู่ ๆ ผมกลับคิดถึงอั้มขึ้นมาตลอด ทุกครั้งที่ว่างทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นที่ผมเคยมีเซ็กส์กันเกือบ ๆ 5 ปีก่อน ผมไม่เคยเป็นแบบนั้นเลยตอนนั้น ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะ ผมคิดไปถึง สองเต้านมใหญ่ ๆ กับก้นแน่น ๆ ของอั้ม รวมไปถึงลุคการแต่งของตัวเธอทำให้จิตใจผม จดจ่อกับอะไรแบบนั่น มากเกินไป พอหลังจากนั้นผมเริ่มตั้งสติ ว่าอั้มคือเพื่อน ถ้าไปคิดในแง่มุมที่ผ่านมาผมคง ไม่ต้องเรียกเธอว่าเพื่อนอีกต่อไป เวลาผ่านไปจนสิ้นเดือนพฤศจิกายน ทุกอย่างก็จบจริง ๆ ผมก็ลืม ๆไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่พอมาต้นสัปดาห์ ประมาณวันที่ 8 เดือนธันวาคม อั้มก็ได้โทรมาหาผมอีกครั้ง….โดยที่เธอบอกให้ผมทำตัวให้ว่าง ในวันที่ 18 เพราะว่าเธอจะหมั่นกับอิน ที่จังหวัดราชบุรีซึ่งบ้านของอินแฟนเธอ และผมต้องไปให้ได้ ในตอนนั้นผมปฏิเสธอั้มทันที ผมให้เหตุผลว่า "ไม่ชอบงานพิธีหมั่นหรือแต่งงานเลย" แต่เธอก็ขอร้องว่า "ต้องไปให้ได้มันเพราะเป็นวันสำคัญ อยากให้เพื่อนสนิทอย่างผมไปจริง ๆ " แต่ผมก็ยังไม่รับปาก และเราสองคนก็วางสาย โดยที่อั้มบอกจะโทรมาตื้อใหม่ ……..ในตอนนั้นผมไม่อยากไปจริง ๆ แต่สุดท้ายผมมานั่งคิด ๆ ดูใหม่ถ้าใครซักคนอยากให้ไป แล้วโทรมาชวนไม่ว่าจะเรื่องอะไรแสดงว่าคนคนนั้นเห็นความสำคัญของคนที่อยากให้ไป ถึงเอ่ยชวนให้ไป……สุดท้ายคำว่าเพื่อน….ผมจึงเปลี่ยนใจ ผมได้โทรกลับไปหาอั้มบอกว่าผมตกลงจะไป และอาสาจะเป็นตากล้องให้ด้วย พอเธอได้ยินเธอก็แสดงอาการดีใจทันทีที่ผมจะไปงานสำคัญของเธอ จนกระทั้งถึงวันที่ 17 ซึ่งผมได้นัดกับอั้มตอนตี 4 โดยที่เธอจะมารับผ เพื่อเข้าพิธีการหมั่นช่วง 3 โมงเช้าของวันที่ 18 และไปกันสองคนผมกับอั้ม ส่วนพวกเพื่อน ๆ ที่บริษัทเธอ จะขับรถไปเอง รวมทั้งพ่อแแม่และน้องชายเธอจะไปรถอีกคันพอถึงเวลานัดอั้ม ก็ขับรถมารับผมที่จุดนัดกัน โดยที่เธอแต่งตัวดูสบาย ๆ แต่ดูเท่ห์ (ผมชอบมาก) วันนั่นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว และกางเกงขาสั้นผ้าลื่น ๆ มัน ๆ สีขาว ตลอดทางเราก็คุยกันแบบตลกบ้าง จริงจังบ้าง ตามประสาเพื่อนสนิทที่พูดตรง ๆ ได้ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เธอ เคยประจำเดือนมาแต่ไม่ได้พกผ้าอนามัยไป จนไหลเต็มขาเธอ ตอนนั่งคุยกับลูกค้า ที่สำคัญเราสองคน ไม่เคยพูดถึงเรื่องของ 5 ปีก่อน (เราต่างคน ต่างทำเหมือนกับว่า มันไม่เคยเกิดขึ้น ) พอใกล้ถึงจังหวัดราชบุรีที่เป็นในตัวเมือง (บ้านอินอยู่ขอบตัวเมือง) แต่ตัวอั้มจะต้องไปโรงแรมที่จองห้องเอาไว้ ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง เพื่อที่จะแต่งหน้าแต่งตัวเข้าพิธี โดยที่เธอได้จ้างช่างแต่งหน้าที่เป็นร้านเดี่ยวกับร้านเช่าชุดไว้แล้วซึ่งตอนนั้นตัวผมเองขี้เกียจนั่งรอนาน ๆ แต่ก็ต้องรอ ผมไปถึงหน้างานบ้านอิน ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น เป็นไม้ชั้นบนเป็นปูนชั้นล่างก็มีรถไปจอดประมาณ 6-7 คัน และมีพนักงานบริษัทเดียวกันกับอั้ม ก็มาเกือบ ๆ 10 กว่าคน รวมในงานอีก ผมนับรวมก็ประมาณ 20 คนขึ้นไปจังหวะนั้นผมก็ได้เดินไปทักทายอิน ที่แต่งชุดไทย ที่เป็นเสื้อราชประแตนสีขาว และด้านล้างเป็นโจงกระเบนผ้าใหมสีทองมีลวดลายไทย วันนั้นอินดูดีมากจากนั้นผมก็ไปสวัสดีพ่อและแม่อั้ม แล้วยืนข้าง ๆ ตัวน้องชายอั้มตรงหน้าบ้าน (ส่วนผมรู้จักที่บ้านอั้มมาก่อน ตั้งสมัยเรียน) ในจังหวะที่ผมยืนมองอั้ม โดยที่อั้มก้าวลงมาจากประตูบ้าน…แล้วเดินตรงมา ได้ทักทายกับทุกคนรวมทั้งตัวผม..แล้วกำลังเดินผ่านหน้าผมไป…….โอ้วววครับ….แม่เจ้า……วินาทีนั้นถ้าผมไม่มาเห็นกับตา ผมคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่…..ในภาพที่อั้มสวมใส่ชุดงานหมั่น….ภาพที่เธอรวบเกล้าผม รัดตึงเปิดหน้าฝาก มีปิ่นปักเสียบอยู่ด้านบนสองติ่งหูห้อยด้วยต่างหูประดับ ส่วนใบหน้าที่ผ่านการแต่งหน้าทาปาก ใบหน้าที่ขาว ๆ สองแก้มอมชมพูรูปหน้าเรียว จมูกโด่ง ตาโต หางตาคมกริบ จากการขีดเขียนคิ้วและเขียนหางตา (อารมณ์เหมือนฝรั่งแต่งชุดไทย) ส่วนชุดที่เธอใส่เป็นชุดไทย (ชุดไทยแบบบรมพิมาน) เสื้อผ้าใหมไทยด้านหน้าเรียบ ซ่อนซิปด้านหลัง สีขาวครีมทั้งตัว คอเสื้อเป็นคอตั้งรัดคอ เสื้อแขนยาว ทรงรัดรูปรัดแบบแนบเนื้อ จนมองเห็นส่วนของหน้าอกทั้งสองข้างเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่นูนโค้งพุ่งออกจากเนินหน้าอกส่วนบน โค้งจนถึงเหนือหน้าท้อง (แบบชัดเจน มองไกล ๆ ยังดูเด่น) โดยมีสร้อยประดับสีทองคล้องที่คอส่วนด้านล่าง เป็นกระโปรงผ้าถุงซิ่นผ้าใหมไทย สีน้ำตาลแดงเนื้อผ้าใหมมีลวดลายสีทอง เป็นลายไทยทรงข้าวหลามตัด และผ้าถุงซิ่นเป็นแบบพันรอบเอว มีตะข้อเกี่ยว ดึงรัดสอบเข้ารูป รัดแนบไปกับส่วนเอวสะโพก ส่วนก้นและต้นขา ความยาวถึงตาตุ่ม ตรงกลางเป้ามีชายพก เป็นผ้าใหมจีบเรียงทับซ้อนเป็นแผ่น ๆ ยาวเท่าผ้าถุงซิ่น ส่วนเอวเป็นเข็มขัดทองรูปสี่เหลี่ยมเฉียงปลายแหลมขึ้นบน….วินาทีที่อั้มเดินผ่านไป…ทั้งกลิ่นน้ำหอมจากตัวเธอที่หอมฟุ้งทั้งเครื่องประดับที่ดูระยิบระยับ ทั้งชุดไทยผ้าใหมที่ดูมันวาว รวมทั้งทรงผมและการแต่งหน้าทาปากที่สำคัญหน้าตาที่ดูสวยของอั้ม….ภาพรวมเธอหมือน "เจ้านางผู้ทรงศักดิ์จริง ๆ "……โอ้ววครับ….บอกคำเดียวว่าตั้งแต่ผมรู้จักกับอั้มมา วันนี้เธอสวยมากจริง ๆ ในขณะที่ผมยืนทอดสายตามองไปอั้มตลอดเวลาตั้งแต่ลงจากรถ จนเดินผ่านเข้าประตูบ้านอินไป ซึ่งมีญาติทั้งสองฝั่งนั่งรอ ที่โต๊ะนั่งยาวความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้และพูดอย่างไม่อาย ทุกอย่างที่เป็นอั้มตอนนั้น ทำให้ผมมีอารมณ์อย่างมาก (ผมยืนควยแข็งโด่) ผมแทบอยากจะจับเธอมานอนขึงแล้วเย็ดตรงนั้นเลย….ยิ่งมองเธอผมยิ่งมีอารมณ์….จนกระทั้งทุกอย่างก็เริ่มพิธีการ โดยที่ผมเองก็ไปนั่งเป็นส่วนหนึ่ง ของงานแต่ตาผมมองไปอั้มตลอด ตอนนั้นก็มีพิธีกล่าวโอวาท จากผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งช่วงเวลาถือพานยกสินสอด ผมก็ไล่ถ่ายรูปในงาน พร้อมกับเพื่อนอั้ม
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568
เพื่อนสนิท 1
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น