วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2565

หอมกลิ่นโลกีย์ ตอนที่ 28



          อาแปะตื่นขึ้นมาตอนเช้าจึงรู้ว่าอนงค์หายไปแล้ว หล่อนคงรีบไปทํางานไม่ได้สงสัยอะไร อาบน้ำแต่งตัวจะเอาเงินไปปล่อยกู้ตามที่นัดหมายคนขอกู้เอาไว้ แต่พอควานมือเข้าไปในตู้หลังกองเสื้อผ้า อาแปะก็ใจหายวาบ ค้นจนเสื้อผ้ากระจุยกระจายก็หาซองสีน้ำตาลใส่เงินสองแสนไม่พบ
          ตายห่า...มันหายไปไหน ไปวางลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า เที่ยวเดินค้นหาจนทั่วบ้านก็ไม่เห็น แวบคิดถึงอนงค์ตามธรรมดาแล้วหล่อนไม่เคยรีบร้อนออกจากบ้านก่อน มีอะไรบางอย่างชวนคิดระแวง
          ...อาแปะโทรศัพท์ไปที่บ้านอนงค์ นุชเป็นผู้รับสาย หล่อนกําลังจะออกไปเรียนหนังสืออยู่พอดี
          “เมื่อคืนแม่ไม่ได้กลับมานอนบ้านหรอกจ้ะ”
          “เมื่อเช้าเข้าไปหรือเปล่า”
          “ไม่เห็นนี่จ๊ะ”
          “สงสัยเลยไปทํางานเลย”
          “ไม่ทราบจ้ะ”
          “ไม่เป็นไร...ขอบใจมาก”
          อาแปะร้อนรน เขาโทรไปยังที่ทํางานของอนงค์ แม้มันยังเช้าแต่ก็มีพนักงานมาทํางานกันแล้ว
          “คุณอนงค์ยังไม่มาเลยค่ะ มีอะไรจะสั่งไว้ไหมคะ”
          เสียงผู้หญิงหวานๆ ตอบมาตามสาย และสอบถามว่าจะฝากข้อความอะไรเอาไว้ถึงคนที่ต้องการคุยด้วยไหม
          “ทันทีที่เค้าไปถึงนะ ช่วยบอกให้เค้าโทรหาอาแปะด้วย เค้ารู้ว่าอาแปะนั้นหมายถึงใคร”
          “ค่ะๆ โทรหาอาแปะนะคะ”
          “ครับ ขอบคุณมาก”
          “สวัสดีค่ะ”
          จบถ้อยสนทนาทางโทรศัพท์แล้ว อาแปะหันรีหันขวางทํายังไงดีถามตัวเองอยู่อย่างนี้ เงินสองแสนไม่มีใครรู้นอกจากอนงค์คนเดียว ...แล้วหล่อนมาหายไปพร้อมซองเงิน มันหมายความว่าอย่างไร

          อาแปะไม่ยอมออกไปเก็บดอกรายวันเหมือนเช่นเคย คนขอกู้โทรมาหา เขากระโดดรับโทรศัพท์เข้าใจว่าเป็นของอนงค์ก็ไม่ใช่ เขาห่อเหี่ยวไม่มีความหวังบอกคนขอกู้เงินเลื่อนนัดไปก่อน
          อาแปะทนรอโทรศัพท์จากอนงค์ไม่ไหว เขาโทรกลับไปที่ทํางานของหล่อนอีกหลายครั้ง คําตอบเหมือนเดิม อนงค์ไม่ได้ไปทํางาน
          อาแปะเอารถออกขับตระเวนหาสอบถามไปทั่ว ซักเริ่มแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าอนงค์คว้าเงินก้อนโตล่องหนไปแล้ว เย็นนั้นจึงเข้าแจ้งความเป็นหลักฐานเอาไว้
          อาแปะรอแล้วรอเล่า อนงค์ก็ไม่ส่งข่าวและไม่มีใครเห็น แวะไปที่บ้านพบกับนุชเด็กสาวก็ส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายสดใสมองหน้าอาแปะ ใบหน้าที่กลัดกลุ้มกังวลใจ
          “แม่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ไม่เห็นกลับมาเลยจ้ะ”
          “แล้วไปโรงเรียนยังไง เอาเงินที่ไหนใช้”
          “นุชมีจ้ะ แม่เคยให้นุชเก็บเอาไว้”
          อาแปะมองเด็กสาวหน้าตาสวยผิวขาวแล้วถอนใจเบาๆ อนงค์ไม่ห่วงลูกเต้าบ้างเลย หายตัวเข้ากลีบเมฆงานการไม่ทํา ไม่น่าคิดอะไรสั้นๆ เงินสองแสนมันคุ้มกันแล้วหรือ
          “สงสัยแม่จะไปกับจ่ายงค์”
          นุชเปรยขึ้นมาอย่างที่คิด พอได้ยินชื่อจ่ายงค์อาแปะก็สนใจ จ้องหน้าสวยของนุชอย่างตั้งคําถาม นุชนึกได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ขึ้นมา อาแปะยังไม่รู้ว่าแม่กับจ่ายงค์มีอะไรกัน ความเข้าใจของอาแปะมีว่าจ่ายงค์เป็นญาติของแม่
          “จ่ายงค์มาเกี่ยวอะไรด้วย”
          “เอ้อ...เปล่า... เปล่าหรอกจ้ะ”
          นุชหลบตา อาแปะมองก็รู้เด็กสาวมีบางสิ่งบางอย่างปิดบังอําพราง เขาจึงค่อยๆ ตะล่อมถามจนนุชเองก็ไม่อาจปิดบัง ครั้งหนึ่งอาแปะเคยช่วยหล่อนให้รอดพ้นจากตกเป็นเหยื่อกามของจ่ายงค์ หล่อนก็ควรจะบอกความจริงกับอาแปะ
          “เอ้อ... แปะจ๊ะ ความจริงจ่ายงค์ไม่ได้เป็นญาติกับแม่หรอกจ้ะ”
          “อ้าว...แล้วเป็นอะไร”
          “เป็นอะไรนุชจะบอกแปะได้ยังไงล่ะจ๊ะ เขาก็เป็นเหมือนอย่างแปะยังงั้นแหละ เขาเคยมานอนค้างที่บ้านในห้องของแม่”
          ไม่ต้องอธิบายอาแปะก็รู้รอดตลอดปลอดโปร่ง จ่ายงค์ตัวแสบอนงค์ก็ตัวแสบเหมือนกัน พอกันเลยสมกันแล้ว และทําให้อาแปะนึกถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่โดนยกเค้า คิดโยงใยกับเรื่องเงินสองแสนที่อนงค์ฉวยเอาไปมันชักเข้าเค้า นึกแปลก ใจอยู่เหมือนกันทําไมคนร้ายรู้ว่าเขาซื้อข้าวของชุดใหม่เข้าบ้าน เพียงสามวันก็มาขนเอาไปจนเรียบ มันต้องมีสายสนกลใน และก็คงจะเป็นอนงค์นั่นแหละ แสบดีเหลือเกินแสบถึงทรวง
          อาแปะไม่ได้กล่าวเรื่องจ่ายงค์กับอนงค์สืบต่อไป หากแต่เขามองนุชอย่างเห็นใจ เด็กสาวคนนี้น่าสงสาร ใครจะส่งเรียนต่อไป หล่อนจะช่วยตัวเองได้หรือ
          “เอ้อ...นุช หนูมีอะไรก็บอกแปะนะ เรื่องเรียนอะไรไม่มีค่าเทอมบอกได้ แล้วไม่ต้องคิดอะไรมากด้วย แปะจะช่วย”
          นุชยกมือไหว้กล่าวขอบคุณ ท่าทางอาแปะพูดอย่างจริงใจ ก่อนนั้นสายตาของเขาอาจจะมีความละโมบในกาม แต่ตอนนี้ไม่ได้มีวี่แววอย่างนั้นเลย เขาวางตัวเป็นผู้ใหญ่น่านับถือคนหนึ่ง

          คืนนั้นมีโทรศัพท์ทางไกลถึงอาแปะ เสียงที่ดังมาตามสายอาแปะจําได้ดี เสียงอนงค์นั่นเอง และมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะเยาะหยัน อยู่ในสายด้วยน่าจะเป็นเสียงของไอ้ตัวแสบตํารวจนอกราชการ
          “โทรมาขอบคุณแปะเท่านั้นแหละ ที่ให้เราสองคนมีเงินมีทองใช้กันอย่างสบายมือ”
          “อนงค์นั่นเธออยู่ไหน”
          “บอกไม่ได้หรอกจ้ะ”
          “เธอใช่ไหมที่ร่วมมือกับไอ้จ่ายงค์ขนของไปหมด”
          “ฉลาดนี่หว่าไอ้แปะ”
          มีเสียงแทรกเข้ามา ราวกับจ่ายงค์เอาหูแนบกับหูฟังที่อนงค์ถืออยู่
          “เลวเหลือเกินพวกลื้อนี่”
          ไม่มีเสียงตอบ แต่มีเสียงหัวเราะของสองหญิงชายอย่างครื้นเครง คงกําลังมีความสุขกัน ...แต่แล้วมีเสียงแว่วเข้ามา
          “อยากได้เงินคืนก็มาเอาที่นครฯ นี่ซีโว้ย บางทีจะได้กินลูกปืนอิ่มจนท้องกางขึ้นอืด ไอ้บ้า ไอ้แปะ ไอ้หน้าโง่”
          วางหูไปแล้ว อาแปะวางหูลงบ้าง นึกเอาไว้ไม่ผิด เขาทรุดนั่งที่โซฟา ใช่อนงค์กับจ่ายงค์เสียจริง ๆ
          แค้นใจไม่น้อย พวกมันจะต้องชดใช้ แวบคิดถึงนุชเด็กสาวลูกของอนงค์อยากระบายแค้นกับเด็กคนนั้น ฐานที่เป็นทายาทของนังงูเห่าที่แว้งกัดชาวนากินดอกเบี้ยอย่างเขา

          ...คืนนั้นอาแปะดื่มเหล้าเมาแวะไปที่บ้านทาวน์เฮ้าส์ นุชออกมาต้อนรับ หล่อนอยู่ลําพังคนเดียวพอเห็นอาแปะก็ยิ้มดีใจ มองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
          “อาแปะจ๋า เข้ามาข้างในก่อนซีจ๊ะ นุชไม่ได้ข่าวแม่เลย แปะได้ข่าวบ้างหรือเปล่าจ๊ะ”
          หล่อนพูดอ่อนหวาน อาแปะหมายจะมาทําปู้ยี่ปู้ยำ พลันก็ใจอ่อนเข้าในบ้านพูดคุยกับนุชอย่างเปิดอก ทั้งนี้ไม่ใช่จะต้องการประจานมารดาของนุช แต่ต้องการให้นุชรู้เอาไว้บ้างว่าแม่ของเธอหล่อนนั้นเป็นอย่างไร
          “แม่ของเธอน่ะทําแปะเจ็บแสบมาก ร่วมมือกับจ่ายงค์ยกเค้าบ้านอาแปะถึงสองหน แล้วแม่ของนุชยังเอาเงินไปอีกสองแสน นี่แหละเรื่องมันเป็นยังงี้”
          นุชตะลึงไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าแม่จะทําตัวอย่างนี้ ...แต่สังเกตสีหน้าอาแปะเขาพูดอย่างไม่มีอะไรเคลือบแฝง
          “แล้วแปะจะทํายังไงจ๊ะ จะเอาตํารวจไปจับแม่นุชหรือเปล่า ขอร้องนะจ๊ะอย่าจับแม่เลย เอาไว้นุชทํางานหาเงินได้แล้วนุชจะค่อยๆ ผ่อนใช้หนี้ให้จ้ะ”
          ...อาแปะจ้องหน้าเด็กสาว เพราะไม่นึกว่าจะได้ยินคําพูดอย่างนี้จากเด็กที่เพิ่งจะแตกเนื้อสาว เห็นว่ายังไม่น่าจะมีความคิดความอ่าน แต่เข้าใจผิดไม่ใช่อย่างนั้น นุชแสดงนิสัยของคนที่มีความรับผิดชอบออกมาอย่างไม่ลังเล
          “ขอบใจหนูมากนะ แปะไม่คิดจะเอาเงินจํานวนนั้นคืนแล้ว นึกว่ายกให้แม่ของนุชไปทําทุน เพราะพูดไปแล้วแม่ของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกลกับแปะ”

          ตั้งแต่นั้นอาแปะไปมาหาสู่ที่บ้านทาวน์เฮ้าส์อยู่เสมอ ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเฟือฟาย เป็นผู้ส่งเสียให้นุชได้เรียนหนังสือ แม้ว่าเด็กสาวจะปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม เขาประกาศออกมาหนักแน่นเขาไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ขอเพียงได้ช่วยเหลือนุชเท่านั้น เขาก็พอใจแล้ว
          หนึ่งรู้เรื่องนี้หล่อนเตือนน้องสาวให้ระวังตัว หล่อนรู้แล้วเรื่องที่แม่ทํากับอาแปะอย่างเจ็บแสบ
          “พี่หนึ่งจ๊ะแปะเขาก็ดีกับนุชนะ พี่คงไม่รู้ตอนนั้นจ่ายงค์ปล้ำนุช อาแปะก็ช่วยเอาไว้ แต่นุชไม่ได้เล่าให้พี่หนึ่งฟังกลัวเรื่องรู้ถึงหูแม่ แม่กําลังหลงจ่ายงค์ แม่รู้ก็คงยุ่งยากใจเผลอๆหงุดหงิด มีผลสะท้อนกลับมาถึงนุชอีกด้วย
          “แต่ยังไงนุชก็ต้องระวังอาแปะ เขาเสือผู้หญิงเลยเชียวนะ”
          “จ้ะพี่ นุชจะระวังตัว”
          ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกของอาแปะ เขาเริ่มจากความสงสารเห็นใจนุชและต่อมาความรู้สึกนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักอย่างไม่รู้สึกตัว อาแปะรู้สึกราวกับตนเองเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม และได้พบกับอาเหลี่ยนใหม่ ๆ
          ความรักเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อายุปูนนี้แล้วเขาเองไม่นึกว่าจะมีความรัก แต่มันเกิดขึ้นแล้วเขาห้ามมันไม่ได้ เขาอยากเห็นหน้าพูดคุยกับนุช ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัว แต่ได้มองเขาก็รู้สึกมีความสุข
          มันเป็นความรักต่างวัย แต่ก็เป็นความรักแท้ อาแปะมองดูนุชก็รู้สึกว่าเด็กสาวมีใจกับเขาไม่น้อยหน้า แดงเสมอๆ และกัดริมฝีปาก ก้มหน้ามองพื้นบ่อยๆ ในเชิงเขินอาย
          ...เขาซื้อเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ สวยๆ น่ารักให้นุช เด็กสาวไม่กล้ารับ ...แต่เขาคะยั้นคะยอจนหล่อนต้องรับเอาไว้ กล่าวขอบคุณเบาๆ พร้อมยกมือไหว้นอบน้อม
          ต่อมาชวนหล่อนไปกินข้าวนอกบ้าน บางทีไปรับที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อนๆ เข้าใจว่าอาแปะเป็นพ่อ ก็ไม่มีใครหยอกเย้าอะไร

          หนึ่งเตือนนุชเสมอให้ระวังตัว เพราะรู้ว่าอาแปะเป็นคนอย่างไร ...หล่อนเคยประสบมาแล้ว ลิ้นสากเหมือนกระดาษทราย และเหมือนมีมนต์สะกดลําเนื้อยาวใหญ่น่ากลัวนัก อย่างนุชซึ่งไม่เคยผ่านผู้ชายมาก่อน เจอเข้าไปแค่ครั้งเดียวก็แทบสลบเหมือด
          “แต่เขาไม่เคยจับมือถือแขนนุชเลยจ้ะพี่หนึ่ง”
          หนึ่งรู้สึกประหลาดใจ มีหรืออาแปะจะปล่อยเวลาล่วงเลยนานนัก แค่ไปกับเขาครั้งสองครั้งมือก็ยุ่มย่ามแล้ว หล่อนต้องขอร้องให้นุชกล่าวคําสาบานว่าที่พูดนั้นเป็นความจริง นุชก็กล้าสาบาน หนึ่งส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อและประหลาดใจ
          “ไม่น่าเป็นไปได้”
          “จริงๆ นะจ๊ะพี่หนึ่ง อาแปะเขาดีกับนุชมาก”
          พี่สาวมองหน้าน้องสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาไม่ละสายตาจากใบหน้าน้องสาวเลย
          “นุชรักเขาแล้วใช่ไหม”
          น้องสาวได้ยินคําถามนั้นชัดเจน หล่อนร้อนผ่าวที่ใบหน้า แก้มเป็นสีชมพูหลบตาลงต่ำมองมือตัวเองและนวดนิ้วมือตัวเองอย่างลืมตัว
          “ใช่ไหมจ๊ะ... นุชบอกพี่มาตรงๆ เลยไม่ต้องอายหรอก”
          “เอ้อ...ไม่รู้ซีจ๊ะ”
          ตอบขณะใบหน้าร้อนวูบวาบ ใจเต้นระรัว ...และรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด ไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน หัวใจก็เหมือนจะพองจนคับอก
          ไม่ต้องรอฟังคําตอบที่ชัดเจนหนึ่งก็แน่ใจว่านุชรักอาแปะเข้าแล้ว เพราะว่าน้องไม่เคยมีความรักกับผู้ชายคนไหน พบเจออาแปะคนแรกก็จึงมีใจด้วยอย่างไม่ยากเย็น
          แต่น่าแปลกใจที่อาแปะไม่ฉวยโอกาสเขากําลังคิดอะไรอยู่ หนึ่งจะต้องพูดกับอาแปะให้รู้เรื่องในฐานะที่หล่อนเป็นพี่สาว ไม่มีแม่แล้วหล่อนก็ต้องดูแลน้องให้พ้นโพยภัยต่างๆ ที่จะมาแพ้วพาน
         
          หนึ่งเลือกที่จะใช้โทรศัพท์ติดต่อกับอาแปะ ที่บ้านของชายผู้นั้นสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่ตั้งนานจึงมีคนมารับ
          พอรู้ว่าเป็นหนึ่งอาแปะก็ถามด้วยน้ำเสียงยินดีว่ามีอะไรหรือ โทรหาเขากลางคืนเช่นนี้
          “อยากจะพูดเรื่องน้องสาว อยากถามแปะว่าคิดยังไงกับนุช แกยังเด็กอยู่มากนัก ยังอ่อนต่อโลก”
          “อ๋อ ไม่มีอะไรนี่จ๊ะ แปะน่ะพูดตรงๆ กับหนึ่งเลยก็ได้ แปะรักนุช รักจริงๆ ไม่ใช่รักเพื่อจะหลอกลวงล้วงกินไข่แดงแต่อย่างใด แปะรักนุชเพื่อจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนวันตาย”
          หนึ่งระบายลมหายใจ หลังจากฟังคําอาแปะจบลง เอ่ยถามเขาเรื่องอายุที่แตกต่างกันมากมายนัก มองไม่เห็นความเหมาะสมกันแม้แต่น้อย
          “อายุก็เป็นเพียงอายุเท่านั้น ความรักอยู่ที่ใจ แปะบอกอีกครั้งว่าแปะรักนุชอย่างจริงใจ จะเลี้ยงดูให้นุชอยู่ดีมีสุขตลอดไป”
          อาแปะกล่าวหนักแน่น และย้ำว่าเขารักนุชจริงๆ จะส่งเสียให้นุชเรียนสูงเท่าที่นุชต้องการ หลังจากเรียนจบแล้วเขาก็จะแต่งงานกับนุช อยู่กินกันอย่างผัวเมียทั่วไป
          หนึ่งไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ และเขาบอกว่าที่อยากจะได้นุชเป็นคู่ชีวิตเพราะนุชเป็นเด็กดี มีความรับผิดชอบสูง มีเหตุผล เขารักนุชหมดหัวใจ
          หนึ่งวางหูโทรศัพท์ลง ถอนหายใจหนักหน่วง เป็นไปได้ที่คนแก่จะมีรักแท้ ถ้าอาแปะรักนุชจริง นุชก็คงไม่ลําบากเพราะอาแปะมีเงิน

          ชาวบ้านเขาเริ่มพูดกันปากต่อปากแล้ว ...เรื่องอาแปะกับนุช เพราะเห็นอาแปะพานุซออกไปนั่งกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านในหมู่บ้าน...บ่อยๆ ท่าทีคนทั้งสองไม่ใช่เด็กกับผู้ใหญ่ หากแต่เป็นความสัมพันธ์ฉันท์หนุ่มสาวที่รักใคร่มีใจตรงกัน ไม่ว่าใครก็มองออก มันมองไม่ยาก นุชมีท่าทีเอียงอายแก้มเปล่งปลั่งสีชมพูอยู่ไม่ขาด และอาแปะก็ช่างเอาอกเอาใจไม่ใส่ใจสายตาคนอื่นเลย
          ตัวอาแปะเองรู้สึกกระชุ่มกระชวย เหมือนเป็นหนุ่มที่ยังไม่เคยรักใคร่ผู้หญิงมาก่อน มองสบตากับเด็กสาวอย่างหวานซึ้ง หัวใจเต้นตูมตามอย่างมีความสุข และมีความหวัง
          “แปะจะรอจนกว่าหนูจะเรียนจบ แล้วเราก็จะแต่งงานกันนะจ๊ะ”
          “ไม่รู้ชีจ๊ะ”
          “ไม่รู้ได้ยังไง ก็แปะบอกอยู่นี่ไงจ๊ะ นั่นเป็นอนาคตของเราสองคนที่วางเอาไว้แล้ว แปะจะส่งให้นุชเรียนสูงที่สุดเท่าที่นุชต้องการ”
          “แค่ปริญญาตรี นุชก็คงพอแล้วนะจ๊ะ”
          “นั่นก็แล้วแต่หนู แปะไม่ว่าอะไร”
          นุชไม่พูดอะไรต่อแต่มองหน้าอาแปะด้วยดวงตาเป็นประกาย ยิ้มกัดริมฝีปากเม้มไว้ แล้วหลบตาอาแปะมองต่ำ
          นุชไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนอื่น เพิ่งจะมีอาแปะนี่แหละที่สามารถทําให้หล่อนมีความรู้สึกที่ไม่เคยปรากฏ นี่หรือคือความรัก มันช่างแปลกประหลาดโลกสวยเหลือเกิน และเต็มไปด้วยความสุข
          นุชแวบคิดถึงมารดา แม่ไม่ได้ส่งข่าวมาเลย ...เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ทราบ ถ้าแม่รู้เรื่องความสัมพันธ์กับอาแปะ แม่จะว่าอย่างไรบ้าง จะเห็นดีเห็นงามหรือคัดค้าน เพราะอาแปะก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของแม่เหมือนกัน
          ...แต่แม่คงไม่กล้ากลับมาเผชิญหน้ากับอาแปะอีกแล้ว แม่ทํากับอาแปะเอาไว้เจ็บแสบยิ่งนัก คิด ไปแล้วอาแปะเป็นคนน่าสงสารที่ตกเป็นเหยื่อลวงล่อของแม่ที่ร่วมมือกับจ่ายงค์ชายเจ้าเล่ห์คนนั้น

          ความรู้สึกของหล่อนในตอนนี้มันสะท้านไหว ยามเมื่อได้อยู่ใกล้อาแปะ และหล่อนไม่เข้าใจว่าทําไมต้องอยากจะเบียดเนื้อตัวเข้าไปชิดใกล้กับชายจีนสูงวัย อยากจะให้เขาสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวของหล่อนบ้าง แต่เขาก็ไม่ทําอย่างนั้น นอกเสียจากว่าจะถูกต้องกันโดยบังเอิญ และไม่เข้าใจว่าทําไมหล่อนจึงรู้สึกซาบซ่านไปทั้งเนื้อทั้งตัว ที่สําคัญทําไมในซอกหลืบเร้นลับต้องมีหยาดน้ำชื้นฉ่ำด้วย.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น