จนกระทั่งถึงเย็นวันศุกร์ในเดือนกค. ผมกับดุจเดือน และเพื่อนๆอีกหลายคนกำลังทำเวรความสอาดในห้องเรียนกัน โดยมียัยแหม่มลิลลี่ ยืนกับกำชี้มือชี้ไม้ให้ทำตรงนั้นตรงนี้เสมือนเป็นเจ้านายชี้มือสั่งให้ลูกน้องทำงาน แม่ผมก็โทรศัพท์เข้ามาหา
"รามจ๊ะ...วันนี้ลูกกลับบ้านเองได้มั๊ย..เผอิญแม่ยังติดธุระอยู่ค่ะ..." เสียงอ่อนหวานคุ้นหูของแม่ดังลอดมาตามลำโพง มีไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่แม่จะติดธุระในช่วงเย็นๆ แล้วโทรมาบอกผมให้กลับบ้านเอง ผมจึงไม่แปลกใจเมื่อฟังข้อความจากแม่นงค์จบ จึงรีบรับปากออกไปทันที
"นี่นายราม..แกจะอู้หรอ...เพื่อนๆทำความสอาดกันอยู่นะ..." เสียงแปร่งๆแสลงหู ดังแหวขึ้นทางเบื้องหลังของผม แม้ไม่ได้หันไปมองผมก็ทราบดีว่าเป็นเสียงของผู้ใด จึงรีบบอกลาแม่นงค์ แล้วหันกลับไปมองจ้องหน้ายัยแหม่มลิลลี่ ด้วยความไม่พอใจ
"เราไม่ได้อู้ซักหน่อย..แม่เราโทรมาหา..ไม่เห็นหรอว่าเรากำลังถูห้องอยู่..." ผมหันกลับไปเถียง พร้อมชูไม้ม๊อบถูพื้นที่อยู่ในมือให้ยัย
ลิลลี่ดู
"แกไม่ต้องมาเถียงชั้นนะ...ถ้าชั้นบอกว่าแกกำลังอู้งานเอาเปรียบแรงเพื่อน..มันก้ต้องเป็นแบบนั้น..." ยัยลิลลี่แหวใส่กลับด้วยเสียงดัง ตาโตๆสีเขียวอมฟ้าของหล่อนลุกโพงด้วยความไม่พอใจ พร้อมก้าวย่างเข้ามายืนชิดติดหน้าผม ซึ่งในขณะนั้นความสูงของผมอยู่เพียงแค่ใบหูของหล่อนเท่านั้น จึงต้องเงยหน้าขึ้นประสานสายตาสีเหมือนไฟตามผับของหล่อนอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เลยว่าชาติก่อนไปก่อเวรทำกรรมอะไรให้ยัยลิลลี่ มันถึงได้จงใจหาเรื่องผมมาตลอดตั้งแต่เปิดเรียนแล้ว
"แกมาจ้องหน้าชั้นอยากมีเรื่องใช่มั๊ย.." ทั้งน้ำเสียงและรุปร่างของยัยลิลี่ที่ขยับเข้าชิดมันแสดงอาการข่มขู่ผมอย่างชัดเจน จนหน้าผากของเราทั้งสองแทบจะชนกัน
"เอาน่าลิลลี่..อย่าทะเลาะกันเลย..." แต่แล้วเสียงเล็กๆของดุจเดือนพร้อมรูปร่างบอบบางของเธอก็สอดเข้ามาแทรกกลาง ได้ทันท่วงที ทำให้หน้าตกกระของยัยลิลลี่แยกออกห่างจากหน้าผม จากนั้นดุจเดือนก็ฉุดแขนผมลากออกห่างไปอีกด้านหนึ่งของห้อง
"อีกสิบนาทีชั้นจะกลับมาตรวจงาน..ถ้ายังไม่เรียบร้อย..แกโดนจดชื่อแน่..." เสียงแหวๆของยัยลิลลี่ตะโกนข้ามห้องร้องบอกกับผมเป็นการเฉพาะเจาะจง ทั้งๆที่เวรทำความสอาดนั้นมีตั้งหลายคนที่จำต้องรับผิดชอบร่วมกัน จากนั้นก็สบัดก้นอวบใหญ่ผิดอายุ และสรีระของเด็กไทย เดินออกไปจากห้องอย่งฉุนเฉียว
"ขอบใจนะเดือน..." ผมหันไปกล่าวขอบใจดุจเดือนเบาๆ ที่เธอกล้าเข้ามาสอดแทรกขวางท่าทางเอาเรื่องของยัยลิลลี่ได้ทันเวลา ทั้งๆที่รูปร่างบอกบางส่วนสูงเพียงแค่หัวไหล่ของยัยลิลลี่เท่านั้น
"ไม่เป็นไรหรอกราม..คราวหลังเธอก็อย่าไป..ทำท่าจ้องหน้าลิลลี่เค้าสิจ๊ะ..." ดุจเดดือนเตือนผมด้วยเสียงเบาๆ พร้อมก้มหน้าก้มตากวัดแกว่งไม้กวาดดอกหญ้ากวาดเศษผงตามพื้นห้องต่อไปด้วยท่าทางทมัดแทมง ส่วนผมก็ถูไม้ม๊อบไล่ตามไปอีกครั้ง จนกระทั่งเสร็จสอาดทั่วห้อง ยัยลิลลี่จึงกลับเข้ามาตรวจงานตามที่เธอบอก เมื่อเห็นว่าพื้นห้องเรียนสอาะเป็นมันวาวดีแล้ว จึงไม่มีเรื่องที่จะตำหนิผม หล่อนก็เดินหน้าบูดๆออกไปจากห้องทันทีเช่นกัน
ผมและดุจเดือนรวมทั้งเพื่อนๆ จึงรวบรวมอุปกรณ์ทำความสอาดเก็บเข้าที่ จนเรียบร้อยแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน แต่
วันนี้แม่นงค์ไม่มารับ ผมจึงเร่งฝีเท้าเดินตามดุจเดือนออกไปทางประตูด้านหลัง ที่ออกสู่ถนนอังรีดูนังค์ พร้อมร้องเรียกให้ดุจเดือนผ่อนฝีเท้า เพื่อจะได้เดินทัน
"เดือนรอเราด้วย..." ผมตะโกนเรียก จนดุจเดือนชะงักเท้าหันหน้ามาเบื้องหลัง แล้วยืนคอยเมื่อเห็นว่าผมวิ่งเหยาะๆตามมาจนทัน
"อ้าวราม...ตามเดือนมาทำไมคะ..." ดุจเดือนร้องถามด้วยความแปลกใจ
"เอ้อ..พอดีวันนี้แม่ได้ขับรถมารับน่ะ...เดือนกลับบ้านทางประตูหลังโรงเรียนหรอ.." ผมชวนคุย พร้อมก้าวเดินไปพร้อมกัน
"อื้อ...บ้านเราอยู่ไม่ไกลโรงเรียน..เลยเดินไปกลับทุกวันแหละ...อิอิ..ไม่ต้องเสียเงินขึ้นรถ.." ดุจเดือนพูดตอบด้วยท่าทางปรกติ ไม่ได้ขัดเขินเอียงอาย ที่ต้องเดินไปกลับโรงเรียนเองโดยไม่มีพ่อหรือแม่ขับรถมารับ เฉกเช่นนักเรียนส่วนใหญ่ในห้อง
"แล้วบ้านรามอยู่ไหนล่ะ...ถึงเดินมาออกประตูนี้..."
"แถวพระโขนง...ออกประตูนี้ แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถไฟฟ้าน่ะ...สะดวกกว่าออกประตูหน้า..." ผมตอบไปตามความจริง พร้อมสาวเท้าถี่ขึ้น เพราะเห็นดุจเดือนตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบนี้ แต่เธอเดินได้รวดเร็วกว่าผมมาก
"รีบเดินไปไหนอ่ะเดือน...." จนผมต้องร้องถาม หวังให้เดือนชะลอฝีเท้าลงบ้าง
"อ๋อ..เดือนต้องรีบกลับไปช่วยแม่ทำงานน่ะ..." ดุจเดือนตอบมาด้วยน้ำเสียงปรกติธรรมดา จนผมแปลกใจว่าตัวเล็กๆอายุเท่านี้ ยังต้องรีบกลับไปช่วยแม่เธอทำงานอะไร จนเราทั้งสองออกมาพ้นประตูโรงเรียน ดุจเดือนก็เดินแยกไปอีกทาง ซึ่งตามจริงผมต้องเดินเลี้ยวไปทางซ้าย เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สยาม แต่ดุจเดือนกลับเดินไปหยุดยืนริมถนน แล้วหันมองซ้ายทีขวาที เหมือนกำลังรอรถให้ว่างเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้าม ผมจึงรีบตัดสินใจตะโกนเรียกเธอไว้ก่อนที่ดุจเดือนจะเดินข้ามไป
"เดี๋ยวก่อนสิเดือน..รามมีเรื่องจะคุยด้วย.." เสียงตะโกนของผมได้ผล ทำให้ดุจเดือนชะงักเท้าที่กำลังก้าวข้ามถนน พร้อมหันกลับมามองผมด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นผมวิ่งเหยาะๆเข้าไปหา
"จะคุยอะไรล่ะราม..เดือนรีบ..." ดุจเดดือนร้องถามผมทันทีที่ผมวิ่งมาหยุดตรงหน้าหล่อน
"เอ้อ...ไปทานน้ำปั่นกันก่อนมั๊ยรามเลี้ยงเอง..แล้วเดี๋ยวรามมีเรื่องจะถาม..." ผมเองกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกขัดเขิน เมื่อออกปากชวนดุจเดือนไปหาน้ำปั่นทานกัน แต่แล้วกลับยิ่งเขินหนักขึ้นไปอีก
"ไม่ละราม เดือนขอบใจนะ..แต่เค้ารีบกลับบ้านจริงๆ.." ดุจเดือนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่นิด ที่จะมีคนเลี้ยงน้ำปั่นแถวสยาม
"งั้นรามเดินคุยไปเป็นเพื่อนเดือนได้มั๊ยล่ะ..." เมื่อโดนเดือนปฏิเสธไม่รับเลี้ยงน้ำปั่น ผมก็รีบเสนอตัวว่าจะเดินไปเป็นเพื่อนทันที จนดุจเดือนแปลกใจ เงยหันหน้ามามองจ้องผม แล้วอมยิ้มเล็กๆ จนผมเพิ่งประจักษ์ว่าดูๆไปแล้วเวลาดุจเดือนอมยิ้มแบบนี้ เธอก็ดูสวยเช่นกัน
"ตามใจสิ..แต่ว่ามันไกลนะ..." ดุจเดือนตอบยิ้มๆ จนแก้มใสๆเริ่มแดง พร้อมประกายตาที่บ่งบอกว่าเธอเริ่มขัดเขิน แต่ผมกลับรู้สึกหัวใจมันพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด
ดุจเดือนพาผมเดินข้ามถนนไปฝั่งสนามม้า แล้วเดินเลาะไปตามถนนมุ่งหน้าสู่สภากาชาติ ส่วนผมก็เดินเคียงข้างตามเงียบๆ จนผ่านไปได้สองป้ายรถเมล์ เหงื่อผมก็เริ่มซึมชุ่มแผ่นหลังด้วยความเหน็ดเหนื่อย รูปร่างผอมๆบางๆ ไม่ค่อยได้เล่นกีฬาของผมไม่อาจทานทนอากาศแสนอบอ้าว และระยะทางที่เดินมา มันก็ไกลกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเดินด้วยซ้ำ ฝีเท้าจึงค่อยๆล่าช้าลงไปทุกที
"เหนื่อยแล้วหรอราม...แล้วบอกว่าจะมีเรื่องคุยกับเดือน..ทำไมไม่คุยล่ะคะ..." ดุจเดือนผ่อนฝีเท้าก้าวย่างจนผมเดินขึ้นมาเคียงข้าง แล้วถามผมด้วยรอยยิ้ม
"ไม่เหนื่อยหรอก...บ้านเดือนอยู่อีกไกลมั๊ยครับ" ผมพูดปดแล้วยิ้มกลบเกลื่อน
"อีกไกล...ฮิฮิ...ว่าไง..จะถามอะไรเดือนหรอ..ถามสิ..." ดุจเดือนถามผมยิ้มๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนือยเหมือนผมเลยแม้แต่นิด
"เอ้อ...รามขอโทษนะ..เผอิญวันนั้นได้ยินที่วาสนาทวงเงินค่าห้อง..." ผมอ้อมแอ้มสอบถามด้วยความอยากรู้ และสงสัย ไม่เคยคิดเลยว่าเงินเพียงไม่กี่สิบบาทนี่ ดุจเดือนจะไม่มีปัญญาจ่าย จนต้องให้วาสนาทวงถาม
"อื้อ...เงินเดือนของแม่..ยังไม่ออกน่ะ..." ดุจเดือนยอมเปิดปากรับออกมาตามตรง หลังจากที่เธอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แต่น้ำเสียงของดุจเดือนคราวนี้กลับไม่สดใส หวานๆเหมือนเช่นตอนแรก ผมได้ยินเต็มชัดสองหูถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเช่นกัน ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดดี
"เอ้อ..แต่นี่เพิ่งกลางเดือนเอง อีกตั้งหลายวันกว่าเงินเดือนของแม่เดือนจะออกไม่ใช่หรอครับ..."
"อือ..ใช่..ช่วงนี้เดือนก็ผัดผ่อนวาสนาไปก่อน...ไว้เงินเดือนแม่ออกมาค่อยเอาไปให้เค้า...เรื่องเล็กน้อยเอง..อิอิ.." ดุจเดือนพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริงสดใสเหมือนเก่า พร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อพูดจบ แต่สีหน้าและแววตาของเธอมันฟ้องอย่างชัดเจนว่าดุจเดือนรู้สึกอึดอัดกับการตามไล่จิกทวงถามจากวาสนาเช่นกัน
"เอาแบบนี้มั๊ย..รามออกเงินให้ก่อน...ไว้เดือนมีเมื่อไหร่ค่อยใช้คืนก็ได้..." ผมตัดสินใจพูดออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะคำนวนดูแล้วว่าเงินค่าห้องเพียงไม่กี่สิบบาท ไม่สามารถทำให้เงินออมในกระปุกออมสินของผมลดลงไปแต่อย่างใด แต่แล้วกลับตกใจเมื่อพูดจบ เมื่อเดือนหยุดเดินกระทันหัน แล้วเงยหน้ามองจ้องหน้าผม สายตาวาวแววที่ลอดผ่านแว่นสายตากรอบพลาสติค บ่งบอกว่าเธอกำลังตำหนิผมอย่างชัดเจน
"รามทำงานหาเงินเองได้แล้วหรือ..ถึงเอาเงินแม่มาออกให้ผู้หญิงน่ะ..."
"เอ้อ...เงินของแม่ก็จริง..แต่เงินส่วนนี้ รามเก็บออมจากค่าขนมไว้นะ...ไม่ได้ไปขอเพิ่มจากแม่นงค์หรอก..." ผมรีบตอบอุ๊บอิ๊บเสียงแผ่วเบา เพราะตั้งแต่รู้จักดุจเดือนมา ผมไม่เคยได้ยิน และเห็นสายตาเช่นนี้จากเธอมาก่อนแม้สักครั้งเดียว คราวนี้ดุจเดือนเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง ก่อนจะค่อยๆพูดเสียงแผ่วเบาออกมา
"เดือนขอบใจนะ..ที่รามอยากช่วย...แต่ไม่ต้องหรอก...ไว้เดือนคอยหลบวาสนาเอาเอง..." ดุจเดือนพูอย่างกับว่าเธอสามารถหลบรอดการตามจิกทวงถามจากเหรัญญิกวาสนาได้พ้น ทั้งๆที่ห้องเรียนมันแคบขนาดนั้น
"เอาเถอะน่า..รามไม่ได้ให้เงินฟรีๆ..แค่ให้ยืมไปก่อน...วาสนาจะได้ไม่ทวงเงิน.." ผมพยามยามพูด เพื่อให้ดุจเดือนรับการช่วยเหลือจากผมให้ได้ จนดุจเดือนอึ้งไปพักใหญ่ พร้อมสาวเท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ
"ถามจริงๆนะราม..ช่วยเดือนนี่หวังอะไรหรือเปล่า..." ดุจเดือนหยุดเดิน พร้อมร้องถามและจ้องมองหน้าผมเขม็ง เพื่อค้นหาความจริง
"ไม่เลย..รามอยากช่วยเดือนจริงๆ..เพราะเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ..." ผมตอบไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริงในขณะนั้น เพราะตั้งแต่เข้ามาเรียน ดูเหมือนดุจเดือนจะเป็นเพียงเพื่อนคนเดียวที่ผมรู้สึกสนิทมากที่สุด
"ก็ได้...ครั้งนี้เดือนยอมให้รามช่วยเหลือ...แล้วพอมีเงิน เดือนค่อยใช้คืนให้นะ..." ที่สุดดุจเดือนก็ยินยอมรับความช่วยเหลือจากผม ผู้รู้สึกในขณะนั้นเลยว่า ที่เดินตามมาหายเหนือยเป็นปลิดทิ้ง พร้อมหัวใจที่พองโตจนคับอก ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงสดใสจากปากดุจเดือนอีกครั้ง ผมก็แทบอยากให้โลกหยุดหมุนในตอนนั้นเสียให้ได้
แล้ววันนั้นผมก็สามารถเดินเป็นเพื่อนคุยของดุจเดือนไปได้จนถึงหน้าปากซอยที่เธออาศัยอยู่ แม้ผมจะไม่ทราบว่าบ้านช่องของดุจเดือนเป็นเช่นใด แต่ก็พอเดาได้ว่าฐานะทางบ้านของเธอคงไม่สู้ดีนัก เพราะทันทีที่เดินไปถึงหน้าปากซอยบ้าน ผมก็เห็นดุจเดือนวิ่งตรงเข้าไปหาหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังทำหน้าที่กวาดพื้นฝุ่นละองงอยู่ข้างถนน พร้อมยกมือสวัสดีทำความเคารพ และเรียกพนักงานกวาดพื้นถนนของกทม.คนนั้นว่า แม่ พร้อมแย่งไม้กวาดทางมะพร้าวออกมาจากมือ และทำหน้าที่แทนผู้เป็นมารดา ด้วยความเต็มใจ ไม่ขัดเขินแม้แต่นิดที่เห็นผมยืนมองด้วยความตกตะลึง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น